ย้อนอดีต “ย่านมังกร” ณ ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช

โดย สุภัทธา สุขชู
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มีนาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

"เสื่อผืนหมอนใบ" วลีสั้นๆ ที่แฝงเรื่องเล่าประจำตระกูลของคนไทยเชื้อสายจีนทุกบ้านเสมือนเป็นตำนานเคียงคู่เยาวราช แต่ภาพความเจริญของเยาวราชวันนี้กำลังทำให้คุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ของวลีนี้เลือนราง เพื่อไม่ให้ตำนานมังกรเหลือเพียงเรื่องเล่าซ้ำซากที่ลูกหลานเบื่อฟังแล้วเงียบหายไปจากชุมชนจีนแห่งนี้ "ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช" จึงเกิดขึ้น

สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่มีป้ายภาษาจีนตัวเบ้อเริ่มแข่งกันโดดเด่นเพื่อชิงพื้นที่ในสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา แม้ถนนมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็มีรถราแล่นไปมาวันละหลายหมื่นคัน มีผู้คนแวะเวียนไม่ต่ำกว่าแสนคนต่อวัน

เมื่อรวมกับชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในเยาวราช หรือ "ไชน่าทาวน์เมืองไทย" ซึ่งนับเป็นไชน่าทาวน์ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความพลุกพล่าน และเสียงจึงอยู่คู่กับชุมชนจีนแห่งนี้ทั้งในยามกลางวันและค่ำคืน

ขณะที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมองภาพความวุ่นวายเหล่านี้เป็นสีสันและชีวิตชีวา ในข้อเท็จจริง เยาวราชยังเป็นย่านธุรกิจที่มีเงินไหลเวียนเข้าออกอย่างไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน

ในพื้นที่เพียง 1.43 ตารางกิโลเมตรของเยาวราช มีร้านทองรวมกันกว่า 130 ร้าน กลายเป็นย่านค้าทองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และยังเป็นตลาดทองรูปพรรณทำด้วยมือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถนนสายทองคำแห่งนี้มีกระแสเงินหมุนเวียนจากการค้าทองคำวันละหลายสิบล้านบาท หรือสูงกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี

นอกจากตลาดค้าทอง เยาวราชยังมีตลาดค้าส่งผ้า เครื่องประดับ ของขวัญ และของใช้เบ็ดเตล็ดราคาย่อมเยาแหล่งใหญ่อย่างตลาดสำเพ็ง มีตลาดเชียงกงเป็นแหล่งเครื่องจักรเก่าและเครื่องยนต์มือสอง มีตลาดคลองถมเป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า นาฬิกา และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ราคาถูก และยังมีตลาดเล่งบ๋วยเอี๊ยเป็นแหล่งรวม วัตถุดิบชั้นดีในการประกอบอาหารแบบจีน

ในยามราตรี ถนนเยาวราชยังกลายเป็นแหล่งรวมอาหารจีนเลิศรสตลอดเส้นทางกว่า 1 กิโลเมตร มีร้านอาหารกว่าพันร้านให้เลือกชิมในหลากหลายราคาและรูปแบบ ทั้งภัตตาคารหรู ร้านห้องแถว ร้านข้างถนน หาบเร่แผงลอย

มีตั้งแต่เมนูธรรมดาอย่างก๋วยเตี๋ยวคั่ว ก๋วยจั๊บน้ำใส บะหมี่จับกัง ตือฮวน หอยทอด ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ฯลฯ และเมนูเจ้าสัวอย่างอาหารทะเล กระเพาะปลา หูฉลามน้ำแดง ปลิงทะเล และแพะเย็น เป็นต้น ทั้งยังมีขนมและผลไม้ให้ตบท้าย อาทิ เต้าทึง ลอดช่องสิงคโปร์ ติ่มซำ จุ๋ยก้วย แปะก้วย เม็ดบัว เกาลัด รังนกฯลฯ... สมกับเป็นสวรรค์ของนักชิมอย่างแท้จริง

ความคึกคักตลอดทั้งวันและคืนทำให้เยาวราชเป็นย่านธุรกิจที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาจับจองพื้นที่ทำมาหากิน จนในปี 2547 ราคาที่ดิน ในเยาวราชพุ่งขึ้นมาแพงที่สุดในเมืองไทย โดยตกอยู่ที่ราคา 650,000 บาทต่อตารางวา ล้มแชมป์อย่างถนนสีลมไปอยู่อันดับ 2 ในราคา 500,000 บาท และอันดับ 3 คือสยามเซ็นเตอร์ที่ราคา 450,000 บาท

ความเป็น "เมืองการค้า (trading town)" ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยของ เยาวราชในวันนี้ ไม่ใช่สถานภาพที่ได้มาเองด้วยความบังเอิญโดยปัจจัยภายนอก และก็ไม่ได้เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ใช้เวลาก่อรูป เป็นความรับรู้ในสังคมไทยมานานกว่า 200 ปี นับตั้งแต่ชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มแรกหนีความแร้นแค้นจากแผ่นดินใหญ่มาเทียบท่าที่สำเพ็ง อันเป็นก้าวแรกบนแผ่นดินไทย

ภาพตึกรามอาคารใหญ่โตในเยาวราช ทำให้คนไทยเชื้อสายจีนรุ่นหลังมองไม่เห็นแม้แต่เงาอดีตของเพิงไม้หลังเล็กๆ ที่บรรพบุรุษเคยต้องใช้อยู่อาศัยอย่างเบียดเสียด

ความมั่งคั่งของครอบครัวที่ทำให้ อาตี๋ อาหมวยได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ ทำให้หลายคนหลงลืมเสื่อผืนหมอนใบและหาบไม้ของอาเหล่ากงไปเสียสิ้น

ประกอบกับชีพจรที่เร่งรีบของเยาวราชวันนี้ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตำนานมังกรและคำสั่งสอนของหลายตระกูล รวมถึงเรื่องเล่าประจำตรอกที่แฝงคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ของชุมชนจีนแห่งนี้หล่นหายไปตามกาลเวลา

เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตอันเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยเชื้อสายจีนในเยาวราช เพื่อสืบทอดและธำรงไว้ซึ่งวิธีคิด ค่านิยม และแบบอย่างการดำเนินชีวิตของบรรพบุรุษชาวจีนไปสู่ลูกหลานเลือดมังกร จึงมีการจัดสร้าง "ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช" ขึ้นบนชั้น 2 ของพระมหามณฑป ประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม

ขณะที่ชั้น 3 ของพระมหามณฑปฯ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ "หลวงพ่อทองคำ" พระพุทธรูปทองคำแท้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อ ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักและมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ก่อนที่ขึ้นไปชมและสักการะ

โดยโครงการจัดสร้างพระมหามณฑป ประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม จัดทำขึ้นโดยประชาคม นักธุรกิจเขตสัมพันธวงศ์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา เมื่อ พ.ศ.2550

ทั้งนี้ ผู้ดำเนินการออกแบบและจัดสร้างนิทรรศการ ทั้งในศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราชและนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณ ปฏิมากร เป็นผลงานของบริษัทรักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด ภายใต้การดูแลของ "ศิริพร ผลชีวิน" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและบริหารโครงการนี้

"Strong Message ที่เราเสนอก็คือ DNA แบบคนจีน คือขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน และรู้จักใช้โอกาส เมื่อเมล็ดพันธุ์ที่ดีแบบนี้มาตกต้องบนแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์ บวกกับการให้โอกาสของสังคมไทย และพระมหากษัตริย์ จึงสามารถเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาในย่านที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้" ศิริพรเชื่อว่านี่เป็นจุดที่ "รักลูกฯ" ชนะใจกรรมการ

ขณะที่จุดเด่นของนิทรรศการหลวงพ่อทองคำที่โดนใจกรรมการ อยู่ที่การนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงพ่อทองคำอย่างรอบด้านและลึกซึ้ง ตั้งแต่กำเนิดพระพุทธรูป ความหมายของปางมารวิชัยซึ่งเป็นปางเดียวกับหลวงพ่อทองคำ ประวัติและวิธีการสร้างองค์หลวงพ่อ ตลอดจนเหตุการณ์และการเดินทางครั้งต่างๆ ของหลวงพ่อ

รวมถึงการเดินทางครั้งสุดท้ายที่จะมาถึง คือการประดิษฐานบนชั้น 4 ของพระมหามณฑปองค์ใหม่นี้ โดยหลังจากนั้นจะมีพระราชพิธีสมโภชพระมหามณฑปแห่งใหม่ซึ่งจะจัดขึ้นราววันจักรี (อาจก่อนหรือหลังจากนั้น) จากนั้นศูนย์ประวัติศาสตร์ฯ และนิทรรศการหลวงพ่อทองคำจึงจะกลับมาเปิดให้ชมเป็นการถาวร หลังจากที่เปิดชิมลางไป 10 กว่าวันหลังตรุษจีน

ทั้งนี้ เฉพาะการจัดแสดงนิทรรศการ ทั้ง 2 ชั้นใช้งบประมาณรวมกันกว่า 70 ล้านบาท

สำหรับศูนย์ประวัติศาสตร์ฯ แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 6 โซน เริ่มต้นจาก "เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี" เป็นส่วนเกริ่นนำ ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของย่านการค้าสำคัญของเยาวราช การต่อสู้ชีวิตของคนจีน ที่นี่ และความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของชาวเยาวราช ผ่านบทสนทนาของเจ้าสัวกับหลานชาย ด้วยเทคนิคนำเสนอ แบบ Magic Vision ประกอบกับจอวีดิทัศน์

ในโซน "กำเนิดชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์" มีการเล่าถึงสถานการณ์ของประเทศจีน ประกอบกับโอกาสค้าแรงงานในประเทศไทย อันเป็นเหตุปัจจัยให้ชาวจีนอพยพมาทางเรือสำเภาขนสินค้าเพื่อมาลงหลักปักฐานในเมืองไทยในช่วง ร.1-ร.3

เพื่อให้ลูกหลานชาวจีนเข้าใจและ ซึมซับความยากลำบากของบรรพบุรุษในการใช้ชีวิตแรมเดือนบนเรือสำเภากว่าจะได้เทียบท่าที่สำเพ็ง ในโซนนี้จึงได้จำลองบรรยากาศท้องเรือสำเภาหัวแดงท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ จำลองท่าเรือที่พลุกพล่านด้วยกุลีชาวจีน และตลาดย่านท่าเรือที่เต็มไปด้วยร้านอาหารจีนและร้านขายสินค้านำเข้าจากเมืองจีน โดยทั้งคนขายและคนซื้อล้วนเป็นคนจีน

นิทรรศการนำเสนอว่าจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของชาวจีนเยาวราช ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการค้าขายทางทะเลเปลี่ยนมาใช้เรือกลไฟแทนเรือสำเภาจึงใช้เวลาในการเดินทางสั้นลง ไม่เพียงความสะดวกในการค้าขายระหว่างประเทศไทยกับโลกภายนอกที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จำนวนชาวจีนอพยพก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

ภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาบาวริ่ง ประเทศไทยต้องเปิดการค้าขายเสรี กิจการนำเข้าส่งออกจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ชาวจีนเยาวราชเป็นกลุ่มสำคัญที่ได้ประโยชน์จากการก้าวเข้าสู่การค้าสมัยใหม่ในโลกการค้าเสรีนี้ ยิ่งประกอบกับโครงการตัดถนนในท้องที่อำเภอสำเพ็ง (ย่านเยาวราชในปัจจุบัน) ในสมัย ร.5 พื้นที่บริเวณท่าเรือไปจนแนวถนนหลายสายในย่านเยาวราชก็เริ่มพัฒนากลายเป็นเขตการค้าที่รุ่งเรืองเรื่อยมา

โซน "เส้นทางสู่ยุคทอง" แสดงถึงพัฒนาการของชุมชนจีนจากตลาดสำเพ็งสู่ความเป็นย่าน ธุรกิจสมัยใหม่ที่ถนนเยาวราช ภายในโซนนี้มีการจำลองสำนักงานบริษัทค้าข้าวที่ถนนทรงวาดสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งคณะผู้จัดนิทรรศการเชื่อว่าธุรกิจค้าข้าวเป็นจุดเริ่มต้นความเจริญรุ่งเรืองของ ย่านเยาวราช ก่อนที่จะมีการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อย่างเช่นธุรกิจไฟแนนซ์

ความเจริญก้าวหน้าทางธุรกิจของย่านเยาวราชอาจสะท้อนผ่านภาพอาคารสูง 6 ชั้น 7 ชั้น และ 9 ชั้น ซึ่งทั้ง 3 อาคารนี้เคยได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย เคยเป็นแหล่งบันเทิงที่ทันสมัยที่สุดของกรุงเทพฯ

เยาวราชยังเป็นแหล่งที่มีลิฟต์ขนส่งผู้คนตัวแรก มีร้านนาฬิกาแห่งแรก และยังมีโรงหนังแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย

ไฮไลต์ของโซนนี้อยู่ที่โมเดลขนาด 9 เมตร ที่จำลองตึกแถวบนถนนเยาวราชช่วงทศวรรษ 2500 ซึ่งถือเป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของย่านนี้ โดยมีการให้รายละเอียดของทุกบริษัทห้างร้าน และมีให้ชมทั้งในบรรยากาศช่วงกลางวันและกลางคืน

"โมเดลนี้เราใช้เวลา 4-5 เดือนเก็บข้อมูล ปรึกษาอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรมว่า รูปแบบเป็นยังไง และเดินเคาะทุกประตูบ้าน ไปขอดูรูปเก่าบ้าง ไปถามว่าเมื่อก่อนเป็นยังไงบ้าง เราบอกได้เลยว่าโมเดลของเรา 80% ถูกต้อง อีก 20% หาไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง ยอมปล่อยไป" ศิริพรเล่า

ขณะที่รอบโมเดลมีการจัดแสดงด้วย Diorama อีก 11 ฉาก ซึ่งเป็นการหยิบเอาสถานที่ที่มีความสำคัญต่อจิตวิญญาณของเยาวราชมาขยายให้เห็นเรื่องราว วัฒนธรรม วิถีทางสังคม และวิถีความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ของชาวเยาวราชในยุคนั้น

อาทิ "ศาลเจ้าไต้ฮงกง" ที่สะท้อนถึงความศรัทธาของชาวจีนอันนำมาสู่งานสาธารณกุศล หรือมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง "โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ" แสดงถึงอุดมการณ์การช่วยเหลือดูแลกันของพี่น้องชาวจีน "โรงเรียนเผยอิง" กลไกทางสังคมของชุมชนเยาวราชในการสืบทอดค่านิยมและวิธีคิดของบรรพบุรุษชาวจีนสู่คนรุ่นหลัง "วัดเล่งเน่ยยี่" วัดจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชาวจีน "โรงงิ้ว" สื่อบันเทิงและสื่อสำคัญในการถ่ายทอดคติธรรม ประวัติศาสตร์ชนชาติจีนและความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับชาวจีนผู้ไม่รู้หนังสือ เป็นต้น

จากปี พ.ศ.2500 ในห้องโมเดล เสมือนว่าผู้ชมได้เดินทางข้ามเวลากว่าครึ่งศตวรรษมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ายังห้องที่จัดแสดงด้วยกราฟิกบอร์ดสีสันสดใส และมีชีวิตชีวาของเยาวราชยามค่ำคืนซึ่งว่าด้วยเรื่องก้าวปัจจุบันของเยาวราช

ถัดไปเป็น Hall of Frame หรือตำนานชีวิตชาวเยาวราชที่เป็นแบบอย่าง และแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง บอกเล่าผ่านสื่อวีดิทัศน์ ตัวอย่างบุคคลที่สังคมรู้จักดี เช่น ชิน โสภณพนิช, อุเทน เตชะไพบูลย์ และเทียม โชควัฒนา เป็นต้น

ต่อด้วยโซน "พระบารมีปกเกล้าฯ" ซึ่งเป็นแกลเลอรี่ภาพถ่ายและวีดิทัศน์ โดยมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลปัจจุบันที่มีต่อชุมชนเยาวราช

จบท้ายด้วยโซน "เยาวราชวันนี้" ที่สรุปถึงภาพลักษณ์ที่โดดเด่น 4 แง่มุม ของเยาวราชในปัจจุบัน อันได้แก่ ถนนสายทองคำ ย่านตลาดใหญ่ที่สุดของประเทศ แหล่งวัฒนธรรมประเพณีจีน และแหล่งรวมอาหารอร่อย

เพราะการรับรู้อดีตอาจช่วยให้ปัจจุบันมีคุณค่าและความหมายมากขึ้น เชื่อว่า หลังจากที่นักท่องเที่ยวอิ่มเอมกับรอยอดีตของเยาวราชและตำนานของเหล่ามังกรเยาวราชแล้ว หลายคนจะมองเยาวราชด้วยมิติทางใจที่ลุ่มลึกมากขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.