ทางเลือกใหม่


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงขาขึ้น ธุรกิจต่อเนื่องโดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

โดยบริษัทบีเอชพี ไลสาจท์ (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง BHP Steel Lysaght ผู้ผลิตเหล็กชั้นนำจากประเทศออสเตรเลีย และล็อกซเล่ย์ ในสัดส่วน 75 : 25 ได้คิดค้นระบบโครงหลังคา SMARTRUSS และเริ่มนำออกมาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงกลางปี 2545 ปัจจุบันมีฐานการผลิตที่ปทุมธานี ระยอง และขอนแก่น

SMARTRUSS ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของระบบโครงหลังคาที่แตกต่างจากโครงหลังคาเหล็กดำทั่วไป

โครงหลังคาทั่วไปส่วนใหญ่ทำมาจากเหล็กดำตัวซี นำมา ตัดตามขนาดที่ต้องการแล้วเชื่อม หลังจากนั้นทาด้วยสีกันสนิมทับอีกครั้ง ซึ่งนับเป็นระบบที่มีขั้นตอนมาก ใช้ระยะเวลาในการขึ้นโครงนาน และควบคุมคุณภาพได้ยาก

ส่วนระบบ SMARTRUSS ตัววัสดุผลิตจากเหล็กกล้าเคลือบ สารผสมอะลูมิเนียมและสังกะสี ทำให้มีน้ำหนักเบาและกันสนิมได้นานกว่าเหล็กธรรมดา

ในการจำหน่าย SMARTRUSS บีเอชพีจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกค้า ตั้งแต่กระบวนการออกแบบบ้าน โดยบีเอชพีจะพูด คุยกับลูกค้า และมีส่วนช่วยในเรื่องการออกแบบ แบบที่ได้จะส่งเข้าไปที่โรงงาน เพื่อผลิตออกมาเป็นเหล็กที่มีความยาวแตกต่างกัน ตัวเหล็กแต่ละชิ้นจะมีหมายเลขกำกับ เมื่อบริษัทขนส่งโครงหลังคา ไปยังหน้างานก่อสร้าง ช่างก่อสร้างก็จะประกอบตามแบบที่บีเอชพี จัดทำไว้โดยใช้สกรู ทำให้สามารถติดตั้งได้ง่าย รวดเร็ว ไม่เหลือ เศษวัสดุ ไม่ต้องทาสี และไม่ต้องเชื่อม จึงสามารถควบคุมคุณภาพ ได้ดีกว่าระบบโครงหลังคาทั่วไป

"ระบบนี้นิยมใช้กันในต่างประเทศ เพราะคุณภาพดีกว่าทั้งในเรื่องวัสดุ และขั้นตอนการติดตั้งในเมืองไทย คงต้องใช้เวลา อีกสักระยะกว่าผู้คนจะยอมรับ" ภานุ เสถียรพจน์ รองประธาน บีเอชพี ไลสาจท์ ให้ความเห็น

ราคาวัสดุโครงหลังคาเหล็กดำอาจถูกกว่า แต่เมื่อรวมค่าสี กันสนิม ค่าเชื่อมหลังคา รวมทั้งค่าแรงที่ต้องใช้ชั่วโมงการทำงาน ที่มากกว่าระบบ SMARTRUSS แล้ว ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกันทั้งสองระบบ ราคาจะไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้ SMARTRUSS ยังมีน้ำหนักเบา สามารถลดสเป็กของโครงสร้างได้อีกด้วย ทำให้ ลูกค้าจะได้บ้านที่เสร็จเร็วขึ้น คุณภาพที่ดีกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกัน

ด้วยศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังขยายตัว บีเอชพี ไลสาจท์มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางด้านการตลาด โดยเพิ่มทีมขายและตัวแทนจำหน่าย เพื่อครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยอาจร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่น เช่น ซิเมนต์ไทย โฮมมาร์ท ในเรื่องการกระจายสินค้าหรือการส่งเสริมการขาย

ซึ่งเป็นความพยายามที่จะให้ลูกค้าเข้าถึง SMARTRUSS ได้มากขึ้น

ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าโครงการ เช่น โครงการ นาราสิริของบริษัทแสนสิริ โครงการนันทวัน ของแลนด์ แอนด์เฮาส์ รวมถึงโรงแรมและรีสอร์ตชายทะเล เนื่องจากข้อดีของการ ทนต่อไอเค็มของน้ำทะเล นอกจากนี้ยังมีบริษัทรับสร้างบ้าน เช่น ปทุม ดีไซน์ที่เลือกใช้ SMARTRUSS

ส่วนลูกค้ารายย่อย บีเอชพีตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,000 หลัง ในปีนี้

นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่คิดจะมีบ้าน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.