แผนการลงทุนครั้งมโหฬารที่สุด
ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของ Verizon บริษัทโทรศัพท์ใหญ่สุดของสหรัฐฯ จะสำเร็จสมใจหมายและ
ช่วยหนุนส่ง Verizon ให้ผงาดเหนือ
คู่แข่งได้ตลอดไปหรือไม่
Verizon Communications Inc. บริษัทโทรศัพท์ท้องถิ่น และโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
ซึ่งเกิดจากการรวมบริษัท Nynex กับ Bell Atlantic และต่อมากับ GTE ในปี 1997
และ 2000 ตามลำดับ วางแผนจะวางสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (fiber-optic) เชื่อมตรงเข้าสู่ทุกบ้านและทุกสำนักงานทั่วทั้ง
29 รัฐ ซึ่งเป็นเขตสัมปทานของตน ให้สำเร็จภายในเวลา 10-15 ปีต่อจากนี้ ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นราว
20-40 พันล้านดอลลาร์ แผนการนี้จะทำให้ Verizon สามารถส่งทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่บริการโทรศัพท์พื้นฐานธรรมดาไปจนถึงทีวีความคมชัดสูง
ผ่านสายใยแก้วนำแสง ด้วยความเร็วที่สูงปานสายฟ้าแลบ โดยที่จะไม่มีบริษัทคู่แข่งรายใดหาญกล้าที่จะทำตาม
ด้วยเกรงว่าจะเป็น การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
Verizon ยังรุกหนักในธุรกิจไร้สายที่เรียกว่า Wi-Fi ด้วยการติดตั้งจุด
Wi-Fi hotspot กว่าพันจุดครอบคลุมทั่วทั้งเกาะแมนฮัตตัน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสมาชิกอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
(broadband) ของ Verizon ทุกคน เมื่ออยู่ใกล้ตู้โทรศัพท์ของ Verizon จะสามารถใช้เครื่อง
laptop ของตนต่อเข้าท่อง Net แบบไร้สายได้อย่างง่ายดาย Verizon ยังมีแผนจะปูพรมจุด
hotspot ในเมืองสำคัญอื่นๆ อีก ส่วนในเดือนนี้ (กันยายน) Verizon จะเริ่มนำระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นที่
3 หรือที่เรียกกัน ว่า 3G มาใช้เป็นรายแรก โดยเริ่มในวอชิงตันและซานดิเอโกก่อน
ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถต่อเข้า Net ความเร็วสูงได้จากมือถือ และดาวน์โหลดข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง
2.4 เมกกะบิตต่อวินาที ซึ่งมากกว่าการต่อ Net ผ่านระบบ DSL ถึง 5 เท่า
Verizon ยังทำตัวเป็นผู้นำในกลยุทธ์ราคา เมื่อประกาศหั่นราคาบริการ broadband
Internet ลงถึง 30% เหลือเพียง 35 ดอลลาร์ต่อเดือน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
หรือถูกกว่า 10-20% เมื่อเทียบกับบริการเดียวกันของคู่แข่งอย่าง Comcast
Corp บริษัทเคเบิลทีวีใหญ่สุดของสหรัฐฯ และ AOL Time Warner ที่เคยเป็นต่อในช่วงแรกของธุรกิจ
broadband ใช่แต่เท่านั้น Verizon ยังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนวิธีคิดอัตราค่าโทรศัพท์เป็นอัตราเดียวทั้งโทรศัพท์ภายในพื้นที่เดียวกันและทางไกล
ทำให้ค่าบริการลดลงเหลือเพียงประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งได้รับการขานรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
จน Verizon สามารถช่วงชิงตำแหน่งบริษัท โทรศัพท์ทางไกลใหญ่อันดับสามของประเทศมาจาก
Sprint ได้สำเร็จ และทำให้ บริษัท Bell ที่เหลือทั้งหมดต้องทำตามโดยคิดค่าโทรศัพท์ทางไกลในอัตราเดียว
ในช่วงหลายปีมานี้ Verizon ต้องสั่นสะเทือน เมื่อธุรกิจโทรศัพท์ซึ่งเป็นกล่องดวงใจของตนถูก
Comcast และบริษัทเคเบิลทีวีอื่นๆ ดอดเข้ามาตีท้ายครัว (ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา
อุตสาหกรรมเคเบิลทีวีนำโดย Comcast ทุ่มลงทุนถึง 75 พันล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุงเครือข่ายให้สามารถให้บริการโทรทัศน์
ความคมชัดสูงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงบริการโทรศัพท์ได้คาด ว่า อุตสาหกรรมเคเบิลทีวีจะสามารถเพิ่มจำนวนสายโทรศัพท์เป็น
3.7 ล้านสายได้ภายในปี 2005 เพิ่มจาก 2.2 ล้านสายเมื่อปีกลาย) และยัง สามารถแย่งชิงลูกค้าส่วนใหญ่ของ
broadband ซึ่งเป็น segment ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไปได้
Verizon จึงต้องลุกขึ้นมาประกาศแผนเคเบิลใยแก้วนำแสงดังกล่าว ซึ่งเป็นเทคโนโลยี
ที่จะทำให้ Verizon สามารถเสนอบริการเชื่อมต่อ Net ด้วยความเร็วที่เท่ากับ
20 เท่า ของความเร็วของ broadband ในปัจจุบัน โดยจะเสนอบริการดังกล่าวพ่วงไปกับบริการ
โทรศัพท์ปกติ
Ivan G. Seidenberg CEO ของ Verizon มีวิสัยทัศน์ว่า อุตสาหกรรมโทร คมนาคม
อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิงในอนาคต
อันใกล้ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "อุตสาหกรรม broadband" ซึ่งผู้บริโภคจะได้ใช้เทคโนโลยี
การเชื่อมต่อ Net ที่ใหม่และเร็วกว่า บนเครือข่ายที่ทรงประสิทธิภาพสูงกว่า
ในการส่ง และสื่อสารข้อมูลทั้งภาพ เสียงและข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ ทุกอย่าง
Seidenberg เห็นว่า อุตสาหกรรมเคเบิลทีวีในปัจจุบันเน้นเรื่องความ บันเทิงและเกม
แต่อุตสาหกรรม broadband ในอนาคตจะหันไปเน้นเรื่องการศึกษา การแพทย์ บริการการเงิน
และบริการของรัฐในอีก 5-10 ปีข้างหน้า นักเรียนอาจสามารถดาวน์โหลดวิดีโอการบรรยายของอาจารย์ในชั่วโมงที่ตนขาดเรียนมาดูที่บ้านได้
แพทย์อาจ ตรวจวินิจฉัยโรคคนไข้ที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลได้ ผ่าน video conference
ที่ให้ภาพชัดแจ๋วราวกับของจริง
ธุรกิจของ Verizon เองก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปสู่ธุรกิจใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน
Verizon คาดว่าภายใน 5 ปี จะสามารถให้บริการภาพเคลื่อนไหวอันหมายถึงรายการทีวีและภาพยนตร์ตามสั่งได้
ซึ่งจะทำให้ Verizon สามารถแข่งขันโดยตรงกับบรรดาบริษัทเคเบิลทีวีได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
แม้โครงการเคเบิลใยแก้วนำแสงจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลจนบรรดาคู่แข่งยังถอดใจ
แต่ Seidenberg กลับบอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น และกล่าวว่า Verizon
มีเงินมากพอจะลงทุนในใยแก้วนำแสงโดยไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มไปกว่าระดับปัจจุบันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในปีนี้ Verizon จะอัดฉีดเงิน 12.5-13.5 พันล้านดอลลาร์ ลงไปในงบใช้จ่ายเพื่อการ
ลงทุนประจำปี ซึ่งนับเป็นงบลงทุนก้อนใหญ่สุดเป็นอันดับสามในโลก รองจาก DaimlerChrysler
กับ General Electric Co. ทั้งยังมีภาระ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอีก 3 พันล้านดอลลาร์ต่อปีจากมูลหนี้
54 พันล้าน ดอลลาร์ แต่ Verizon หาได้สะทกสะท้านแต่อย่างใดไม่ Verizon ติดกลุ่มบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในสหรัฐฯ
มีผลกำไรจากการดำเนินงานถึง 22 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่า SBC Communications
Inc บริษัทโทรศัพท์ใหญ่สุดอันดับสองรองจากตนถึง 50% มากกว่า BellSouth สองเท่า
และมากกว่า AT&T เกือบ 3 เท่า
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนยังคงกังขาว่า Verizon กำลังตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอยู่หรือเปล่า
หากเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ของบรรดาบริษัทคู่แข่ง SBC กับ Qwest Communi-cations
International ใช้วิธีร่วมมือกับ EchoStar Communications ผู้ให้บริการทีวีผ่านดาวเทียมเมื่อวันที่
21 กรกฎาคม ซึ่งทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถส่งภาพ เสียง และข้อมูลได้พร้อมกันไม่ต่างจาก
Verizon แต่ใช้เงินลงทุนเพียงแค่เศษเสี้ยวของการวางสายใยแก้วนำแสง SBC ยังเน้นการใช้ระบบ
DSL ในการต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งตนยังได้เปรียบ Verizon อยู่หลายขุม
นักวิจารณ์ยังหวั่นว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เนื่องจาก Nynex กับ Bell Atlantic
เมื่อครั้งยังไม่รวมกันเป็น Verizon นั้น เคยล้มเหลวมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในการพยายามหลอมรวมโทรทัศน์เข้ากับ
การสื่อสาร ดังกรณีความล้มเหลวของ interactive-TV ในปี 1994 และความล้มเหลวในการรวมกิจการกับบริษัทเคเบิลทีวีชื่อ
Tele-Communications Inc ในปีเดียวกัน
แต่ Seidenberg และผู้บริหารของ Verizon ต่างช่วยกันยืนยันว่า สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปมากแล้วจากช่วงทศวรรษ
1990 ยุคที่ความผิดพลาดเหล่านั้นเกิดขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการการสื่อสารแห่งชาติ
(Federal Communications Commission: FCC) ได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ ซึ่งทำให้
Verizon และบริษัท Bell อื่นๆ ไม่ถูกบังคับ ให้ต้องแบ่งปันเครือข่ายที่สร้างขึ้นใหม่แก่บริษัทคู่แข่ง
ในราคาที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล อีกต่อไป นอกจากนี้ ราคาของการต่อสายเคเบิลใยแก้วสู่บ้านและสำนักงานยังมีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ
โดยถูกลงมาแล้วถึง 50% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะถูกลงอีก 50% ในอีก
2-3 ปีต่อไป
ถ้า Seidenberg คิดถูก เขาก็กำลัง จะนำพา Verizon ไปสู่หนทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองติดต่อกันไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า แม้ในระยะสั้น จะยังมองไม่เห็นการเติบโตของธุรกิจใหม่ของ
Verizon ได้ชัดเจน เนื่องจากถูกกลบด้วยการเสื่อมถอยของธุรกิจโทรศัพท์ดั้งเดิม
(Verizon สูญเสีย 3.7% ของสายโทรศัพท์ในปี 2002 จากการรุกเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์ของบริษัทเคเบิลทีวีนำโดย
Comcast) โดยคาดว่ารายได้ของ Verizon จะคงที่ที่ 67 พันล้านดอลลาร์ แต่รายได้สุทธิ
จะลดลง 10% เหลือ 7.5 พันล้าน กำไรอาจจะยังหดตัวลงอีกครั้งในปี 2004 เหลือ
7.2 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น เมื่อ broadband ร่ายมนต์เรียกลูกค้าได้มากขึ้น
รายได้ของ Verizon จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 70 พันล้านดอลลาร์ในปี 2005 ส่วนรายได้สุทธิ
จะฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 7.6 พันล้านดอลลาร์
ปัญหาหนักอกเพียงอย่างเดียวของ Verizon คือปัญหาแรงงาน (อ่านล้อมกรอบ "อุปสรรคและทางออกของ
Verizon") คนงานมากกว่าครึ่งสังกัดสหภาพ ในขณะที่บริษัทเคเบิลทีวีคู่แข่งไม่มีสหภาพ
Verizon มีต้นทุนสูงสุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เนื่องจากคนงานสังกัดสหภาพในนิวยอร์กจะมีรายได้เฉลี่ยถึง
62,000 ดอลลาร์ ไม่รวมค่าล่วงเวลาและสวัสดิการอื่นๆ
เสียงจากนักวิเคราะห์ดูจะออกไปทางชื่นชมความใจถึงและก้าวที่กล้าของ Seidenberg
นักวิเคราะห์จาก UBS ชี้ว่า แม้บริษัทเคเบิลทีวีอย่าง Comcast, Cablevision
Systems และ Cox Communications จะสามารถรุกคืบกัดกินส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์ไปได้ถึง
30% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 15%) ด้วยกลยุทธ์การใช้อินเทอร์เน็ตที่มีราคาถูกกว่าและพ่วงด้วยคุณสมบัติ
อย่างการเสนอโทรศัพท์สายที่สองและสายที่สามในราคาถูกเป็นหัวหอก แต่นักวิเคราะห์จาก
UBS เชื่อว่า กลยุทธ์เคเบิลใยแก้วนำแสง ซึ่งสามารถเสนอบริการทีวีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
และบริการโทรศัพท์ ผ่านอินเทอร์เน็ตที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติและลูกเล่นแพรวพราวของ
Verizon จะช่วยยับยั้งการเปลี่ยนใจของลูกค้าได้ถึง 50% นักวิเคราะห์ คนเดิมคาดว่า
หลังจากใช้ใยแก้วแล้ว Verizon จะมีรายได้สุทธิในปี 2007 ที่ระดับ 7.9 พันล้านดอลลาร์
จากยอดรายได้ 79.7 พันล้าน ดอลลาร์ ซึ่งสูงขึ้น 2.5% และ 5.7% จากตัวเลขที่เขาเคยทำนายไว้ก่อนที่
Verizon จะเผยกลยุทธ์เคเบิลใยแก้ว
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงต่อบ้าน หรือสำนักงานหนึ่งแห่งก็ดูจะเป็นใจให้
Verizon ด้วยราคาที่ถูกลงเหลือเพียง 2,000 ดอลลาร์จากระดับมากกว่า 4,000
ดอลลาร์เมื่อ 5 ปีก่อน และบริษัทยังคาดว่าราคาจะลดลงอีก 50% เหลือเพียง 1,000
ดอลลาร์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า Verizon ประเมินว่าค่าใช้จ่ายการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงหนึ่งสายที่จะทำให้บริษัทมีกำไรน่าจะอยู่ที่ระดับ
1,200-1,800 ดอลลาร์ต่อสาย
เหนืออื่นใด Seidenberg มีประวัติดีเยี่ยมในด้านความอดทนเป็นเลิศในการรอคอยการลงทุนที่ต้องใช้ระยะเวลายาว
นานกว่าจะเห็นผล เห็นได้จากธุรกิจสื่อสารไร้สาย ซึ่ง Vodafone Group ยึดครองตลาดอยู่
45% แต่ Verizon กล้าลงทุนมากกว่าคู่แข่งเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน จนขณะนี้
Verizon มีสมาชิก 33 ล้านคน มากกว่าอันดับสองในตลาดอย่าง Cingular ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง
BellSouth กับ SBC อย่างไม่เห็นฝุ่น และยังเหนือกว่าไม่ว่าจะวัดกันในแง่ไหนตั้งแต่ระดับรายได้
การเติบโตของรายได้ และความสามารถในการทำกำไร
ถึงกระนั้นคู่แข่งบางรายยังไม่วายกังขาว่า ตลาดพร้อมแล้วหรือสำหรับเทคโนโลยีระดับสูงเช่นนี้
แต่ Seidenberg กล่าวว่า "broadband จะได้รับความนิยม แพร่หลายภายใน 3-4
ปีนี้ และคงไม่ต้องกังวลถึง "ความสามารถส่วนเกิน" ของเทคโนโลยีดังกล่าว บริษัทอย่าง
Microsoft และ IBM จะไม่มีวันพูดว่า เรากำลังมีปัญหามีเทคโนโลยีที่มี "ความสามารถล้นเกิน"
เพราะพวกเขามองเห็นโลกที่คนมีแต่จะต้องการเทคโนโลยีที่มีความสามารถมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะสามารถรองรับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาจะคิดค้นผลิตขึ้นมา ปัญหาคือ ตอนนี้เรายังไม่มีเทคโน
โลยีที่มีความสามารถสูงขนาดนั้นติดตั้งอยู่ในที่ที่จำเป็น ซึ่งก็คือที่บ้านและที่สำนักงานของเรา"
แต่คงไม่ต้องห่วงอีกแล้ว ในเมื่อ Verizon อาสาจะแก้ปัญหานี้ให้แล้ว
BusinessWeek August 4, 2003