ศรีไทยซุปเปอร์แวร์เตรียมซื้อหุ้นบริษัทในเครือฯจาก "ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ฯ"
จ้างที่ปรึกษาการเงิน ประเมินราคาหุ้น คาดว่าจะเสร็จภายในไตรมาสแรกปี 47 หวังลดความสับสนในโครง
สร้างการถือหุ้น ยืนยันงานนี้ไม่ ต้องควักเงิน แต่ใช้วิธีแลกหุ้น/ล้างหนี้
นายปริญช์ ผลนิวาศ รองกรรมการผู้จัดการด้านการเงินและบริหารบริษัทศรีไทยซุปเปอร์
แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 7/2546
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2546 อนุมัติให้ศึกษาการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทในเครือฯจากบริษัทศรีไทย
รุ่งเรืองทรัพย์ (1999) จำกัด โดย ให้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อ ศึกษาความเหมาะสมของราคาหุ้น
หลังจากนั้นจะ เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
เนื่องจากโครงสร้างการถือหุ้นบริษัทในเครือ หลายแห่งค่อนข้างสับสน เพราะมีการถือหุ้นโดย
SITHAI และโดยบริษัท ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ (1999) จำกัด ไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นโครงสร้างใน
ช่วงที่ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ จึงไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของบริษัทฯที่มีฐานะการเงินมั่นคงแล้ว
และมีสัดส่วนการถือหุ้นโดยบุคคลสัญชาติไทยเกินกว่า 50%
"ในช่วงปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ต่างชาติของ SITHAI แปลงหนี้เป็นทุน ทำให้กลายเป็นบริษัทต่างด้าว
จึงได้มีการตั้งบริษัท ศรีไทยรุ่งเรือง ทรัพย์ฯขึ้นมาเพื่อถือครองที่ดินและเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุน
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการถือครองหุ้นและทรัพย์สิน รวมทั้ง ถ้าบริษัทฯถือหุ้น ใหญ่ในเครือฯเกิน
25% เวลาได้รับเงินปันผลจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ฯ แต่หาก ถือต่ำกว่า
25% จะต้องเสียภาษีเงินปันผลที่ได้รับ"
ปัจจุบัน SITHAI ได้ออกจากการฟื้นฟูกิจการแล้ว จึงไม่เห็นความจำเป็น เพราะที่ผ่านมา
การถือหุ้นพร้อมกันทั้งสองบริษัท ทำให้โครง สร้างไม่ซับซ้อน โดยมูลค่าการซื้อหุ้นบริษัทในเครือฯประมาณ
100-120 ล้านบาท บริษัทฯตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จภายใน ไตรมาสแรกของปี
2547 เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นครั้งนี้ SITHAI ไม่ จำเป็นต้องใช้ในรูปเม็ดเงินเนื่องจากศรีไทยรุ่งเรือง
ทรัพย์ฯติดหนี้ SITHAI อยู่ จึงใช้วิธีแลกหุ้น ล้าง หนี้แทน ซึ่งเป็นการหักกลบลบหนี้ทางบัญชี
โดย ไม่มีผลกระทบต่อการโครงสร้างการบริหารงาน
ปัจจุบันบริษัท ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ (1999) จำกัด ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ศรีไทยโมลด์ส
จำกัด จำนวน 219,820 หุ้น หรือ 22% ของหุ้นทั้งหมด บริษัท ศรีไทย มิยากาวา จำกัด
จำนวน 611994 หุ้น หรือ 51% บริษัท ศรีไทย ชิน-โอซาก้า จำกัด 216,000 หุ้น หรือ
36% บริษัท ศรีไทย-อ๊อตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด 91,995 หุ้น หรือ 46%
บริษัท ศรีไทย พลาสเคม (ประเทศ ไทย) จำกัด 26,999 หุ้น หรือ 36 % บริษัท ไทย
เอ็มเอฟซี จำกัด 120,000 หุ้น คิดเป็น 6% บริษัท ทาคาฮาชิ พลาสติก จำกัด จำนวน
35,997 หุ้น คิดเป็น 18% บริษัท ไทยทาคาฮาชิ พลาสติก จำกัด จำนวน 12,000 หุ้น คิดเป็น
6% และบริษัท ทาคาฮาชิ โคราช (1995) จำกัด จำนวน 15% หรือ 89,992 หุ้น
ร่วมทุนผลิตสินค้าพลาสติก
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้บริษัทฯลงทุนในบริษัทจัดตั้งใหม่ เพื่อผลิตสินค้าพลาสติกโดยการใช้เทคนิคการผลิตระบบเหวี่ยง
(Rotational Moulding) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่ง ในการผลิตชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ มีความยืดหยุ่น
ในการออกแบบผลิตและไม่ต้องการผลิตจำนวน มากในคราวเดียวกัน เช่น ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่
ถังขยะ เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ตลอดจนเครื่องเล่นสนามของเด็ก เป็นต้น ซึ่งจะรองรับการขยาย
ตัวของอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปลายปี 2546
ปัจจุบัน SITHAI ผลิตชิ้นงานพลาสติกด้วย เทคโนโลยีการฉีด (injection) ซึ่งมีข้อจำกัดที่แม่พิมพ์ที่มีราคาสูง
และเหมาะสมกับการผลิตจำนวนมากในคราวเดียว
โดย SITHAI ลงทุนในบริษัทที่จัดตั้งใหม่ที่ผลิตชิ้นงานด้วยเทคโนโลยีการขึ้นรูปแบบ
Rotational Moulding มีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 40 ล้านบาท SITHAI ถือหุ้นจำนวน 1,200,000
หุ้น หรือ 30% ของทุนจดทะเบียน หุ้นสามัญส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยบริษัท ไทย เอ็มเอฟซี
จำกัด คิด เป็น 40% และบุคคลธรรมดา 30%
ค้ำเงินกู้ให้เวียดไทย
นอกจากนี้ บริษัทฯเข้าค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ Vietthai Industrial Plastic Company
Limited ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า พลาสติกในเวียดนาม ในวงเงินไม่เกิน
100,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หลังจากบริษัทฯดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียน
500,000 เหรียญสหรัฐได้ เนื่องจากต้องได้รับการ อนุมัติจากทางการเวียดนามก่อน
SITHAI ถือหุ้นในบริษัทเวียดไทย 90% ของทุนจดทะเบียน เมื่อไม่สามารถใส่เงินเพิ่มทุน
ได้ แต่เวียดไทย มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการซื้อสินค้าจากผู้จำหน่าย และเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคาร
จึงเข้าไปค้ำประกันสินเชื่อให้แทน หลังจากเวียดไทยมีแนวโน้มยอด ขายที่เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ราคาหุ้น SITHAI วานนี้ ปิดตลาดที่ 11.10 บาท เพิ่มขึ้น 60 สตางค์ เปลี่ยนแปลง
5.71% มูลค่าการซื้อขาย 176.58 ล้านบาท