"กระดาษไทย-สก็อตต์ กระดาษเหนียวกว่าพี่น้อง"


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

และแล้วน้ำก็ต้องแยกสาย ไผ่ก็ต้องแยกกอเมื่อสองศรีพี่น้องแห่งตระกูลณรงค์เดชต้องแยกทางกันเดิน เพราะวิธีการทำงานที่ไปด้วยกันไม่ได้ โดยมี บริษัท กระดาษไทยสก็อตต์เป็นจุดแยก

เมื่อปลายปี 2530 มีหนังสือเวียนจากบริษัท กระดาษไทย-สก็อตต์ ถึงร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ ว่า ทางบริษัทให้บริษัทไทย-สก็อตต์เทรดดิ้ง เป็นผู้จัดจำหน่ายกระดาษสก็อตต์แต่เพียงยี่ห้อเดียว ส่วนยี่ห้อเซลล็อกซ์ที่เคยขายคู่กันมาจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป

ประสิทธิ์ ณรงค์เดช ซึ่งเป็นคนปั้นเซลล็อกซ์มากับมือไม่รู้เรื่องนี้เลย และไม่สบอารมณ์มากเรื่องก็เลยแดงออกมาให้รับรู้กันว่า

บริษัท กระดาษไทย-สก็อตต์ ซึ่งแต่เดิมนั้นถือหุ้นโดยบริษัท สก็อตต์เปเปอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ของสหรัฐฯ 50% บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ 10% ตระกูลณรงค์เดช 30% และคนอื่นอีก 10% ต่อมาทางสก็อตเปเปอร์ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงานจึงขอซื้อหุ้นจากฝ่ายไทยโดยให้ราคาสูงถึงหุ้นละ 25,000 บาท มูลค่าหุ้นเมื่อเริ่มกิจการนั้นหุ้นละ 1,000 บาท และราคาตามบัญชีในปัจจุบันเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ของตนให้ และยังมีรายอื่น ๆ อีกรวมทั้งของตระกูลณรงค์เดชด้วย ในด้านการบริหารต่อไป ตัวประสิทธิ์เองนั้นบอกว่าการซื้อขายหุ้นยังอยู่ในระหว่างการเจรจา แต่แล้วก็มีหนังสือเวียนออกมาว่า ไทยสก็อตต์จะขายแต่กระดาษสก็อตต์ ไม่ขายเซลล็อกซ์ หนังสือเวียนนั้นออกมาจากกระดาษสก็อตต์ที่มีเกษมเป็นผู้บริหารอยู่ เรื่องทั้งหมดก็หมายความว่า เมื่อเกษม หมายความว่า เกษมจะไม่ขายของให้ประสิทธิ์อีกต่อไป แปลอีกทีว่า ต่อไปนี้จะหันหลังให้กันแล้ว

ประสิทธิ์เลยต้องไปตั้งโรงงานผลิตกระดาษเซลล็อกซ์เอง และขายเองแข่งกับสก็อตต์ เป็นการแยกทางกันเดินหลังจากขัดแย้งกันมานาน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.