โรงแรมรามาการ์เดนส์เป็นกิจการของบริษัทรามาทาวเวอร์ที่เคยเป็นอาณาจักรของสุธี
นพคุณ ภายหลังการล่มสลายของบริษัทพัฒนาเงินทุน ฐานการเงินสำคัญของสุธี ในปี
2522 รามาทาวเวอร์ก็อยู่ในความดูแลของเจ้าหนี้รายใหญ่คือธนาคารกรุงไทย โดยมีภุชงค์
เพ่งศรี รองประธานธนาคารกรุงไทยเป็นประธานกรรมการของบริษัท รามาทาวเวอร์มีหนี้สินตกค้างอยู่กับธนาคารกรุงไทย
และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในเครือคือสากลเคหะรวมดอกเบี้ยที่ค้างชำระแล้วเป็นเงิน
545 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทยจึงอยู่ในฐานะผู้บริหารบริษัทและเจ้าหนี้รายใหญ่ของรามาทาวเวอร์
กิจการของโรงแรมรามาการ์เดนส์ได้ดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้แต่ประสบกับการขาดทุนตลอดมาด้วยฝีมือของคนจากทางการ
ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา ผู้บริหารรามาทาวเวอร์ได้ประกาศขายเพราะไม่อยากแบกภาระขาดทุน
มีผู้สนใจอยากจะซื้อหลายรายในราคาที่สูงกว่า 500 ล้านบาท แต่ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเลย
เหตุผลในตอนแรกก็คือราคาที่เสนอมาซึ่งต่ำไป และในช่วงต่อมากิจการของโรงแรมดีขึ้นทางผู้บริหารก็เลยอยากจะเก็บเอาไว้ทำเอง
ปี 2529 ธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้ด้วยความยินยอมของธนาคารกรุงไทยในฐานะผู้บริหารได้ทำการฟ้องล้มละลายรามาทาวเวอร์
เพื่อขายทอดตลาดโรงแรมรามาการ์เดนส์และทรัพย์สินชดใช้หนี้ แต่ภายหลังคดีสิ้นสุดลงโดยที่กรุงไทยเป็นฝ่ายชนะกลับไม่มีการบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาดแต่อย่างใด
กลับมีการแต่งตั้งบริษัทเคทีแมเนจเมนท์ขึ้นมาบริหารโรงแรม บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียนเพียง
100,000 บาท ถือหุ้นโดยธนาคารกรุงไทย ผู้บริหารของธนาคารกรุงไทยที่เป็นกรรมการของรามาทาวเวอร์อยู่ด้วยและพนักงานธนาคารกรุงไทยอีกหลาย
ๆ คน เคทีเมเนจเมนท์มีรายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมไม่ว่าโรงแรมจะขาดทุนหรือกำไร
โรงแรมรามาการ์เดนส์จึงมีเจ้าหนี้ลูกหนี้ ผู้บริหารเป็นคนกลุ่มเดียวกัน
ปลายเดือนตุลาคม 2530 ภุชงค์ เพ่งศรี ประกาศว่าจะไม่ขายรามาการ์เดนส์เพราะกิจการดีขึ้นมาก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ธนาคารกรุงไทยก็ดำเนินการบังคับคดีขายทอดตลาดโรงแรมในราคาประเมิน
444 ล้านบาท ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 ผู้ที่ประมูลได้ก็คือบริษัทวิภาวดีรังสิตโฮเต็ลในราคา
565 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทยก็เข้าประมูลด้วยแต่สู้ราคาไม่ไหว
บริษัทวิภาวดีรังสิตโฮเต็ลเป็นบริษัทของกลุ่มปัญจพลไฟเบอร์ที่ทำธุรกิจกระดาษคราฟท์
ขณะนี้กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะขายต่อหรือจ้างคนมาบริหาร ส่วนธนาคารกรุงไทยก็ได้รับการชดใช้หนี้
545 ล้านคืนไป พร้อมกับสร้างตัวอย่างการบริหารธุรกิจแบบใหม่ที่ยังไม่มีคำจำกัดความไว้เป็นกรณีศึกษา