เริงชัย เป็นนักเรียนทุนคนแรกของแบงก์ชาติที่ขึ้นถึงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งตำแหน่งสูงสุดสำหรับข้าราชการประจำของแบงก์ชาติ เริงชัยเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการสายที่
5 รับผิดชอบสำนักงานสาขา เดิมสายนี้ถูกยุบไปอยู่ในความดูแลของวารี หะวานนท์ผู้ช่วยผู้ว่าการสาย
3 ภายหลังการเสียชีวิตของอดุลย์ กิสรวงศ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการคนสุดท้ายในโลกนี้
การรื้อฟื้นตำแหน่งนี้ขึ้นมาใหม่ก็เป็นการต้อนรับการกลับมาของเริงชัยจากธนาคารกรุงไทย
ธนาคารกรุงไทย ขอยืมตัวเริงชัยไปเป็นรองผู้จัดการเมื่อเดือนมีนาคม 2529
ภายหลังจากการเปลี่ยนตัวกรรมการผู้จัดการจากตามใจ ขำภโต เป็นเธียรชัย ศรีวิจิตร
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2529 ตามแผนการปรับปรุงการบริหารและประสิทธิภาพในการทำงานให้เป็นธนาคารชั้นนำ
เพื่อเป็นกลไกของรัฐในการผลักดันนโยบายการเงินของทางการภายหลังจากที่อยู่ในสภาพล้าหลังมานาน
การยืมตัวครั้งนี้มีกำหนด 2 ปี แต่เพียงปีครึ่งเท่านั้นเริงชัยก็อยู่ไม่ได้ต้องกลับแบงก์ชาติเมื่อสิ้นเดือนกันยายน
2530
เริงชัยในตำแหน่งรองผู้จัดการกรุงไทยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสายงานวิชาการ
และวางแผนรวมทั้งการพัฒนาธุรกิจ งานเร่งด่วนในตอนนั้นก็คือ การปรับปรุงระบบงานและแก้ไขปัญหาหนี้สินรายใหญ่
3 รายของกลุ่มศรีกรุงวัฒนาของสว่าง เลาหทัย กลุ่มสยามวิทยาของสุระ จันทร์ศรีชวาลา
และชะอำ ไพน์แอปเปิ้ล หนี้สิน และดอกเบี้ยรวมกันกว่า 12,000 ล้านบาท ในระยะแรก
ๆ แผนการและข้อเสนอของเริงชัยเดินไปอย่างราบรื่น ข้อเสนอต่าง ๆ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารด้วยดี
ตอนนั้นสมหมาย ฮุนตระกูลยังเป็นรัฐมนตรีคลังอยู่ ความเป็นหลานเขยของสมหมายอาจจะมีส่วนให้เริงชัยทำงานได้สะดวก
เดือนพฤษภาคม 2530 มีข่าวว่าเริงชัยขอกลับแบงก์ชาติเพราะทำงานไม่ได้เพราะเกิดความขัดแย้งและไม่ได้รับความร่วมมือในการทำงานจากผู้บริหารของกรุงไทย
ความขัดแย้งนั้นมาจากลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน เริงชัยนั้นจริงจังและรวดเร็วในการทำงาน
มีนโยบายในเชิงรุก ขณะที่เธียรชัย ศรีวิจิตรและผู้บริหารอื่นที่เป็นลูกหม้อเก่าแก่ของกรุงไทยยังติดอยู่ในวัฒนธรรมปฏิบัติแบบราชการ
เริงชัยถูกมองว่าล้ำเส้น ตัวเองนั้นเป็นแค่รองผู้จัดการไม่ได้เป็นกรรมการบริหารด้วยจึงไม่มีอำนาจอะไรมากนัก
แถมยังมีข่าวว่ากระทรวงการคลังเป็นผู้ขอให้แบงก์ชาติเรียกตัวกลับเอง แต่เริงชัยก็ต้องอยู่ต่อไปเพราะแบงก์ชาติเห็นว่ายังมีงานสำคัญอยู่อีกคือการจัดการกับปัญหาบริษัทเงินทุนในโครงการ
4 เมษา และการรวมธนาคารสยามเข้ากับธนาคารกรุงไทย นอกจากนั้นทางแบงก์ชาติยังไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับเริงชัย
เดือนกันยายน 2530 เป็นช่วงที่มีข่าวความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยมากที่สุด
กระทรวงการคลังนั้นเป็นเจ้าของกรุงไทยเพราะถือหุ้นอยู่ 76% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการทำงานของธนาคาร
การทำงานของกรุงไทยนั้นเป็นไปตามวิถีทางของระบบราชการทุกกระเบียดนิ้ว แบงก์ชาติต้องการให้มีการปรับโครงสร้าง
ระบบการทำงานใหม่ รวมทั้งการสะสางหนี้เสีย ๆ ด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรมากนัก
แบงก์ชาติต้องการให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งคอยกำกับดูแลการปรับปรุงโครงสร้างและการปฏิบัติงานของกรุงไทย
โดยผลักดันเรื่องนี้ผ่านกระทรวงการคลัง แต่ทางกรุงไทยที่มีปลัดกระทรวงการคลัง
พนัส สิมะเสถียรเป็นประธานไม่ต้องการโดยอ้างว่า ทางกรุงไทยมีคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างอยู่แล้ว
สามารถดูแลกันเองได้ข้อเสนอของแบงก์ชาติอีกเรื่องหนึ่ง คือการขอส่งคนเข้าไปเป็นกรรมการธนาคารด้วยโดยอาศัยเงื่อนไขในการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
6,000 ล้านบาทแก่กรุงไทย ในนามกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นข้อต่อรองเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนี้
เป็นการให้เพื่อแบ่งเบาภาระที่กรุงไทยรับเอาธนาคารสยามเข้ามา แต่ทางกระทรวงการคลังไม่ต้องการให้คนของแบงก์ชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวในกรุงไทยจึงปฏิเสธเงื่อนไขข้อนี้
โดยอ้างว่าแบงก์ชาติมีคนเข้ามาดูแลในระดับปฏิบัติการอยู่แล้ว
เดือนกันยายน 2530 จึงมีข่าวว่าแบงก์ชาติขอตัวเริงชัยกลับเพื่อไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
"ผมว่าโลกธุรกิจมันสลับซับซ้อนเกินกว่าคนแบงก์ชาติจะตามทัน"
เขากล่าวกับ "ผู้จัดการ" วันหนึ่งถึงบทเรียนที่ได้รับรู้