วิวาทะระหว่างแม่ลูกเบตตองกูรต์

โดย สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( กุมภาพันธ์ 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

ช่วงเดือนธันวาคม 2008 ข่าวที่สามารถตรึงความสนใจของชาวฝรั่งเศสที่กำลังเตรียมฉลองคริสต์มาสและเทศกาลปลายปีเกี่ยวกับมหาเศรษฐีอันดับสองของประเทศ และแน่นอนย่อมหนีไม่พ้นเรื่องเงินทอง สืบเนื่องจากฟรองซ็วส เบตตองกูรต์-เมแยร์ส (Francoise Bettencourt-Meyers) ยื่นฟ้องต่อศาลว่ามีผู้พยายามเอาประโยชน์จากลิเลียน เบตตองกูรต์ (Liliane Bettencourt) ผู้เป็นมารดาซึ่งอยู่ในภาวะอ่อนแอ การร้องเรียนนี้มุ่งกล่าวหาฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ (Francois-Marie Banier) ว่าหลอกลวงทรัพย์สินจากมารดามูลค่านับพันล้านยูโร

ลิเลียน เบตตองกูรต์เป็นลูกสาวของ เอเตียน ชุลแลร์ (Etienne Schueller) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง L'Oreal เนื่องจากเขาเป็นนักเคมี จึงผลิตน้ำยาย้อมผมในปี 1907 และให้ชื่อว่า L'Aureale ต่อมาในปี 1909 ตั้งบริษัท Societe francaise de teintures inoffensives pour cheveux ร่วมกับอองเดร สเปอรี (Andre Spery) ที่กรุงปารีส เปลี่ยนชื่อเป็น L'Oreal ในปี 1939 ผลิต ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมสำหรับมืออาชีพ เช่น Kerastase หรือ Redken เป็นต้น และสำหรับการจำหน่ายทั่วไป ยี่ห้อที่คุ้นตาคือ Elseve, Elnett, Studio Line, Garnier, Fructis เป็นต้น นอกจากนั้นยังผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ประทินผิวและน้ำหอม L'Oreal ถือเป็นกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ที่ใหญ่ ที่สุดในโลก

เมื่อเอเตียน ชุลแลร์เสียชีวิตในปี 1957 ลิเลียน ชุลแลร์บุตรสาวคนเดียวจึงเข้าบริหารธุรกิจของกลุ่ม L'Oreal แทนลิเลียนแต่งงานกับอองเดร เบตตองกูรต์ (Andre Bettencourt) ซึ่งเป็นนักหนังสือ พิมพ์ นักธุรกิจและนักการเมือง ในที่สุด เขาเคยเป็นรัฐมนตรีสมัยประธานาธิบดีเรอเน โกตี (Rene Coty) ชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) และจอร์จส์ ปงปิดู (Georges Pompidou) ทั้งสองตั้งมูลนิธิ Fondation Schueller-Bettencourt สนับสนุนการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ กิจกรรมด้านมนุษยธรรมและสังคม รวมทั้งด้านวัฒนธรรม ลิเลียน เบตตองกูรต์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าโชคดีที่ร่ำรวย แต่ต้องคืนสังคม ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น นิตยสาร ฟอร์บส์ (Forbes) จัดให้ลิเลียน เบตตองกูรต์ ร่ำรวยอันดับที่ 17 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในฝรั่งเศส ลิเลียนและอองเดร เบตตองกูรต์มีลูกสาวคนเดียว คือ ฟรองซ็วส เบตตองกูรต์-เมแยร์ส อองเดร เบตตองกูรต์ถึงแก่กรรมในเดือนพฤศจิกายน 2007 หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ ฟรองซ็วส เบตตองกูรต์-เมแยร์สยื่นฟ้องต่อศาลว่ามารดาตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง

คดีนี้ปิดเป็นความลับมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเว็บไซต์ backchich.info ให้ข้อมูล จึงเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ด้วย ว่าความขัดแย้งระหว่างแม่ลูกอาจมีผลกระทบต่อธุรกิจได้

ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นนักเขียน นวนิยายและช่างภาพ เข้าสู่สังคมชั้นสูงโดยการชักนำของมารี-ลอร์ เดอ โนอายส์ (Marie-Laure de Noailles) ที่นำมาขัดเกลาจนกลายเป็น "เพชร" และแนะนำ ให้รู้จักกับปอล เดอ โบมงต์ (Paule de Beaumont) เซา ชลุมแบร์เจร์ (Sao Schlumberger) และลิเลียน เบตตองกูรต์ในที่สุด รูปลักษณ์ที่สะดุดตาทำให้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นที่ชื่นชอบในหมู่สตรี และล้วนเป็นสตรีที่ร่ำรวยมหาศาล เขาถ่าย ภาพให้คนดังมากมาย ออกงานสังคมกับสตรีดังอย่างฟรองซ็วส ซากอง (Francoise Sagan) เอดมงด์ ชาร์ลส์-รูซ์ (Edmonde Charles-Roux) อิซาเบล อัดจานี (Isabelle Adjani) เขาสนิทกับครอบครัวของวาเนสซา ปาราดีส์ (Vanessa Paradis) และจอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) โดยเป็นพ่อทูนหัว ของลูกสาวของคนทั้งสอง

ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์รู้จักกับลิเลียน เบตตองกูรต์ ในปี 1987 เมื่อเธอให้ สัมภาษณ์นิตยสาร Egoiste ซึ่งออกทุกสามปี ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์มาเป็นช่างภาพให้ เธอพาเขาไปแนะนำให้สามีรู้จัก ทั้งลิเลียนและอองเดร เบตตองกูรต์ชื่นชอบ ความรอบรู้ของฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์มาก ฝ่ายหลังจึงกลายเป็นแขกขาประจำของครอบครัวเบตตองกูรต์

ความสัมพันธ์ที่น่าจะปกติ แต่กลาย เป็นไม่ปกติเมื่อลิเลียน เบตตองกูรต์ให้ทรัพย์สินแก่ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นมูลค่านับพันล้านยูโร

ลิเลียน เบตตองกูรต์กล่าวแก่พนักงานสอบสวนว่า ตนมีสิทธิที่จะใช้เงินตามความต้องการของตน และไม่ยอมรับการตรวจสภาพจิตตามคำเรียกร้องของลูกสาว การสอบสวนพบว่าระหว่างปี 2001-2007 ลิเลียน เบตตองกูรต์มอบเช็คจำนวนหลาย ฉบับ กรมธรรม์ประกันชีวิตหลายฉบับและภาพเขียนของอาร์ติสต์ดังอย่างปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) อองรี มาติส (Henri Matisse) มงเดรียง (Mondrian) แฟร์นองด์ เลเจร์ (Fernand Leger) เดอ ชิริโก (De Chirico) เป็นต้น ทั้งนี้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์จะได้รับภาพเขียนดังกล่าว 12 ภาพ หลังจากที่เธอเสียชีวิต

นิตยสารเลอ ปวงต์ (Le Point) รายงานว่าฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ได้รับเงิน หลายล้านยูโรจากลิเลียน เบตตองกูรต์ ระหว่างปี 1996-2007 การซื้ออสังหาริมทรัพย์และการซ่อมแซมหลายสิบล้านยูโร มีลิเลียน เบตตองกูรต์เป็นผู้จ่ายกรมธรรม์ประกันชีวิตมีมูลค่ากว่า 600 ล้านยูโร

คำฟ้องร้องบ่งว่าฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์กดดันลิเลียน เบตตองกูรต์ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ลูกจ้างและผู้ใกล้ชิดกับลิเลียน เบตตองกูรต์บอกว่า การมอบทรัพย์สินครั้งสำคัญๆ เกิดในระยะที่ลิเลียน เบตตองกูรต์ป่วยและมีสภาพจิตอ่อนแอ กล่าวคือระหว่างที่เธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในปี 2003 และ 2006 แต่ละครั้งมอบทรัพย์สินให้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ ประมาณ 250 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม ในปี 2003 ลิเลียน เบตตองกูรต์ส่งพนักงานบัญชีส่วนตัวไปพบฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ เพื่อแจ้งว่าไม่ประสงค์มอบเงินทองให้อีก หลังจากนั้นไม่นาน ลิเลียน เบตตองกูรต์สำนึกว่าไม่ควรให้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นผู้รับผลประโยชน์กรมธรรม์ประกันชีวิตของเธอ จึงขอให้พนักงานคนเดียวกันนี้ไปจัดการยกเลิก และทำสำเร็จเพียงฉบับ เดียว หากหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก่อนที่ลิเลียน เบตตองกูรต์เข้ารับการผ่าตัด มีการเปลี่ยนกลับไปให้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นผู้รับประโยชน์อีก และช่วงนี้เองที่ผู้บริหารกรมธรรม์ประกันชีวิตของลิเลียน เบตตองกูรต์เปลี่ยนมือจากทนายประจำตระกูลเป็นทนายของฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์

พยาบาลปประจำตัวของลิเลียน เบตตองกูรต์ ในปี 2006 ให้ปากคำว่านายของ เธอตกอยู่ในอิทธิพลของฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองเกี่ยว กับเงินทองทั้งสิ้น ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เฝ้าแต่ขอเงินจากลิเลียน เบตตองกูรต์ สาว ใช้ประจำตัวได้ยินลิเลียน เบตตองกูรต์พูดว่า มันจำนวนมากเกินไป เดี๋ยวอองเดรจะสังเกตเห็น

นอกจากนั้นลิเลียน เบตตองกูรต์ยังให้การสนับสนุนทางการเงินผ่าน L'Oreal แก่นิทรรศการผลงานของฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ในเมืองต่างๆ ในฝรั่งเศสและยุโรป

ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ลิเบราซิอง (Liberation) ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์กล่าวว่าตนเป็นเสมือนลูกชายที่ลิเลียน เบตตองกูรต์ไม่เคยมีและเมื่อลิเลียน เบตตองกูรต์แนะนำแก่พยาบาลประจำตัวว่า ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นมิตรสนิท เขาแก้ว่าเป็นลูกชายบุญธรรมต่างหาก พลัน ที่อองเดร เบตตองกูรต์ถึงแก่กรรมในปลายปี 2007 เรื่องการรับฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ เป็นลูกบุญธรรมได้มีการหยิบยกขึ้นมา โดยทนายของฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์จะเป็นผู้ดำเนินการ ด้วยเหตุนี้ฟรองซ็วส เบต ตองกูรต์-เมแยร์สจึงรีบยื่นคำร้องต่อศาล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกตึงเครียด ในปี 2008 แม่เขียนจดหมายถึงลูกสาว ตำหนิการกระทำของเธอที่ทำให้แม่ช็อกมาก พร้อมกับอธิบายว่าฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์เป็นเพื่อน การมอบทรัพย์สินให้แก่เขาทำในหลายๆ ปีหลายๆ ครั้งต่อหน้าทนาย โดยที่แม่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ทำให้แม่มีโลกที่เปิดกว้างขึ้น มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวง ที่มาพร้อมกับความมั่งคั่ง ทรัพย์สินที่ให้ฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์ดูว่ามากก็จริง แต่ก็เพียงน้อยนิดเมื่อคำนึงถึงหุ้นของแม่ทั้งหมดใน L'Oreal ที่ยกให้ลูกหลังจากแม่ตาย ในจดหมายฉบับนี้ ลิเลียน เบตตอง กูรต์เรียกร้องให้ฟรองซ็วส เบตตองกูรต์-เมแยร์สถอนฟ้อง มิฉะนั้นจะยกสมบัติให้หลานให้เพียงพอที่จะดำรงชีวิต และจะยกทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้รัฐและมูลนิธิชุล แลร์-เบตตองกูรต์ พร้อมกับเน้นว่าจดหมาย ฉบับนี้เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย

เมื่อเรื่องราวบานปลายมากขึ้น ลิเลียน เบตตองกูรต์ให้สัมภาษณ์หนังสือ พิมพ์ Le journal du Dimanche เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2008 ว่าเสียใจที่เกิดเหตุนี้ และตำหนิฟรองซ็วส เบตตองกูรต์-เมแยร์สว่าทำอะไรโง่ๆ เธอรู้จักฟรองซัวส์-มารี บานีเอร์มา 20 ปีแล้ว และชื่นชอบที่เขาเป็น อาร์ติสต์ แต่เธอไม่เคยคิดจะรับเขาเป็นลูก บุญธรรม

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2008 ลิเลียน เบตตองกูรต์เข้าพบประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี (Nicolas Sarkozy) เพื่อขอให้ปิดคดีนี้ หากก็ไม่มีความคืบหน้า พนักงานสอบสวนคดีนี้จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนิน คดีต่อหรือปิดคดี

วิวาทะระหว่างแม่ลูกทำให้ลิเลียน เบตตองกูรต์ต้องออกหนังสือถึงพนักงานของ L'Oreal เพื่อยืนยันว่าตนยังเป็นหุ้นใหญ่ของ L'Oreal และวิวาทะนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่เกี่ยวกับ L'Oreal แต่อย่างใด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.