"อนาคตหลัง BLACK MONDAY 'ฝรั่ง'ชี้ชะตา"

โดย สมชัย วงศาภาคย์
นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

วิกฤติตลาดหุ้นวันจันทร์สีดำ (BLACK MONDAY) ส่งผลกระเทือนทั่วโลกอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แน่นอนย่อมมีคนเจ็บปวด นักเลงหุ้นไทยเฝ้ารอการฟื้นตัวของตลาดจากการเข้ามาลงทุนใหม่ของต่างชาติเป็นนัยสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด

วิกฤติความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น WALL STREET นิวยอร์ก สหรัฐ ในวันจันทร์ที่ 19 ต.ค. 2530 ที่เรียกกันว่าวิกฤติวันจันทร์สีดำ ได้แพร่ขยายผลสะเทือนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกในลอนดอน แฟรงค์เฟิร์ต ปารีส โตเกียว ฮ่องกง และไทยในเวลาเพียงชั่ววันเท่านั้น

เป็นวิกฤติครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีผลเชื่อมถึงกันอย่างรวดเร็วชนิดไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน

และจนกระทั่งบัดนี้เกือบ 2 เดือนเต็มแล้ว วิกฤติความเชื่อมั่นยังดำรงอยู่ มีทั้งผู้สูญเสีย และผู้เกือบจะสูญเสีย (โดยบังเอิญ) เป็นผลที่ย้ำถึงกฎ ZERO SUM GAME ที่ว่าในตลาดหุ้นไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเหตุการณ์ใด ๆ เมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย

มีการประมาณการกันว่า เฉพาะในตลาดหุ้นกลุ่ม G-5 (สหรัฐ ญี่ปุ่น เยอรมันตะวันตก อังกฤษ และฝรั่งเศส) มีมูลค่าสูญเสียสูงถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบจากระดับราคาหุ้นวันที่ 6 ตุลาคม 2530!!!

จากกระแสข่าวกล่าวกันว่า งานนี้กลุ่มโบรคเกอร์และนักลงทุนกระเป๋าหนักหลายรายในตลาดหุ้นกระเป๋าฉีกไปตาม ๆ กัน โบรคเกอร์หลายรายในตลาดหุ้นนิวยอร์กระบายพอร์ตตัวเองออกไปไม่ทัน สถานการณ์ธุรกิจถึงกับทรุดถ้าเอ่ยชื่อทุกคนรู้จักกันดีทั้งนั้น เช่น KIDDER PEABODY SALOMON BROTHERS INC. E.F. HUTTON GOLDMAN SACHS

สำหรับตัวเลขการสูญเสียมูลค่าหุ้นของนักลงทุนกระเป๋าหนักที่ถือหุ้นของบริษัทตนเอง เท่าที่เปิดเผยออกมากล่าวกันว่าสูงถึง 9,930.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่น แซม วัตสัน เจ้าของวอลล์มาร์ตสโตร์ เดวิด แพคการ์ด เจ้าของฮิวเล็ต-แพคการ์ด อันลือชื่อด้านธุรกิจคอมพิวเตอร์ เอดการ์ แอนด์ ชาร์ล บรอนซ์มานน์ เจ้าของนิวส์ คอร์ปอเรชั่นที่ฟู่ฟ่า โจอัน คร็อก เจ้าแม่แมคโดนัลด์ที่แสนอร่อย วิลเลียม เกรท ที 3 หนูน้อยมหัศจรรย์เจ้าของซอฟท์แวร์เฮ้าส์ที่โด่งดัง "ไมโครซอฟท์"

การสูญเสียมูลค่าหุ้นเหล่านี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เป็นตัวเลขการสูญเสียจริง ๆ แท้จริงแล้วเป็นการสูญเสียมูลค่าใบหุ้น หรือ PAPER LOSS ในบัญชีเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่ขายหุ้นออกไปก็จะสูญเสียจริง ๆ

เรื่องนี้นักเลงหุ้นทราบกันดี!

ในตลาดหุ้นเมืองไทย ตัวเลขการสูญเสีย PAPER LOSS หลังวิกฤติการณ์วันจันทร์สีดำ กระแสข่าวจากหลายแหล่งยังไม่แน่ชัดในการประเมิน สำนักวิจัยแบงก์กรุงเทพ ประเมินคร่าว ๆ ให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าน่าจะตกประมาณ 20,000 ล้านบาท สำนักวิจัยแบงก์ไทยพาณิชย์ประเมินว่าน่าจะตกประมาณ 74,000 ล้านบาท ทั้งนี้นับจากระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปักหัวดิ่งลงประมาณ 40%

แหล่งข่าวในวงการนักลงทุนยืนยันความเป็นไปได้สูงว่า ในระยะสัปดาห์แรกของเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ นักลงทุนจากต่างชาติได้เทขายหุ้นผ่านบริษัทโบรคเกอร์ไทยค้า ธนชาติ และกรุงเทพธนาทร มูลค่าระหว่าง 2,500-3,000 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อย ที่คาดหวังว่าจะสามารถเก็งเอากำไรได้เมื่อราคาโน้มตัวสูงขึ้น

"เหตุผลสำคัญอยู่ที่ผู้ลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เห็นว่าราคาหุ้นที่เทขายออกมาได้ตกต่ำลงมากที่สุดแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์วันจันทร์สีดำ (19 ต.ค. 2530) อยู่ที่ 459 จุด เพียง 2 วันจากนั้นดัชนีราคาหุ้นได้ตกลงมากถึง 68 จุดอยู่ที่ระดับ 391 จุด ซึ่งเป็นอัตราการตกต่ำของราคาหุ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 15%

กระแสข่าวที่ยืนยันความเป็นไปได้สูงนี้สอดคล้องกับคำยืนยันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในธนาคารแห่งประเทศไทย-ดร. ศิริ การเจริญดี ผ.อ. สำนักผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า หลังวิกฤติความเชื่อมั่นวันจันทร์สีดำมีผู้ลงทุนรายย่อยสูญเสียจริง ๆ จากการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท

จากการคำนวณของ "ผู้จัดการ" ระยะ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์วันจันทร์สีดำและหลัง เทียบเคียงที่ระดับดัชนีราคาตลาดวันที่ 15 ต.ค. 2530 469.75 จุด และ 16 พ.ย. 2530 ที่ 304 จุด (ลดลง 165.75 จุด หรือคิดเป็น 35%) เน้นเฉพาะหุ้น BLUE-CHIPS ในตลาดจำนวน 39 หลักทรัพย์ ภายใต้สมมุติฐานจำนวนความเร็วการหมุนรอบของหุ้น (VELOCITY) 23 รอบ ความน่าจะเป็นในตัวเลขการสูญเสียมูลค่าหุ้น BLUE-CHIP ในตลาดน่าจะอยู่ในระดับ 11,000.9 ล้านบาท

คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้น (MARKET CAPITALIZATION)…!

มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า วิกฤติวันจันทร์สีดำครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อแผนอนาคตการเพิ่มทุนของกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์จำนวนเท่าที่เปิดเผยในขณะนี้ประมาณ 2,250.5 ล้านบาท การเพิ่มทุนในส่วนนี้มุ่งขายให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมเป็นหลัก

ราคาตามแผนที่ขายสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันมาก (ราคาตลาด ณ วันที่ 8 ธ.ค. 2530) เช่นหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ต่ำกว่าราคาตลาด 70 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 19% หุ้นธนาคารทหารไทยต่ำกว่าราคาตลาด 14 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 5% หุ้น บรรษัทเงินทุนฯ ต่ำกว่าราคาตลาด 81 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 32% เป็นต้น

"ผู้จัดการรายสัปดาห์" ฉบับที่ 85 (52) ประจำวันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค. 2530 ได้วิเคราะห์ในเชิงเป็นข้อสังเกตไว้ว่ามีความเป็นไปได้มากถึงที่มาของความพยายามก่อตั้งกองทุนร่วมพัฒนามูลค่า 1,000 ล้านบาทที่ส่วนใหญ่ระดมมาจากโบรคเกอร์ 30 บริษัท บริษัทละ 30 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านราคาในแผนการเพิ่มทุนของหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์

การเพิ่มทุนเพื่อเสริมฐานะเงินกองทุนของกลุ่มแบงก์พาณิชย์เป็นสิ่งจำเป็นที่รู้กัน เนื่องเพราะในระยะ 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มแบงก์พาณิชย์ประสบปัญหาหนี้สูญ และสินทรัพย์เสื่อมคุณภาพมาก การเพิ่มทุนเป็นทางออกที่สำคัญซึ่งจะต้องทำโดยรีบด่วนภายใต้สภาวะตลาดหุ้นกำลังเติบโต

แต่วิกฤติวันจันทร์สีดำ ทำให้แผนการเพิ่มทุนกลุ่มธนาคาร ต้องมีอุปสรรคมากขึ้น เมื่อราคาหุ้นที่เสนอขายต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันมาก

ในส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เข้าตลาดไปก่อนแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลาดกำลัง "บูม" จากการตรวจสอบพบว่ามีจำนวน 12 หลักทรัพย์ ราคาที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป บริษัทผู้จัดการจำหน่ายตั้งราคาไว้ในระดับราคาตลาดมูลค่ารวมประมาณ 3,676 ล้านบาท

เพียงไม่นานนัก เมื่อเกิดวิกฤติวันจันทร์สีดำ ผลปรากฏว่าราคาหุ้นที่เพิ่มทุนเข้าไปมีแนวโน้มพุ่งดิ่งลงเกือบทั้งหมด!

จากการเทียบเคียงกับราคา ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2530 ซึ่งหลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ ดัชนีราคาตลาดอยู่ ณ ระดับ 256 จุด!

นักลงทุนที่เข้าซื้อไว้ในพอร์ตช่วงหุ้นเข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ ว่ากันว่า คนที่ได้ก็คือ พวกที่เข้าซื้อช่วงดัชนีราคาตลาดอยู่ระดับไม่เกิน 425 จุด ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายน 2530 พอดี (424.85 จุด) และถือหุ้นไว้ในระยะสั้น ๆ เพื่อเก็งกำไร

พวกที่เสียก็คือ พวกที่เข้าช้อนซื้อหุ้น ณ ระดับดัชนีราคาสูงกว่า 425 จุดและถือไว้เก็งกำไรโดยคาดหวังว่าดัชนีราคาตลาดจะขึ้นสูงไปทะลุ 500 จุด ณ วันสิ้นตุลาคม 2530 แล้วกะขายเพื่อเอากำไร

แต่เมื่อเหตุการณ์วันจันทร์สีดำเกิดขึ้นทั่วโลก ราคาดัชนีตลาดปักหัวดิ่งลงถึง 68 จุดเพียง 2 วัน หลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ

ผลก็คือ ขาดทุนกระเป๋าฉีก ทั้งบริษัทเทรดเดอร์ และนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อ…ว่ากันว่าบริษัทเทรดเดอร์ระดับ TOP-TEN กระเป๋าฉีกกันทั่วหน้า มากน้อยตามปริมาณหุ้นในพอร์ต

"ตอนนี้บริษัทเทรดเดอร์ทั้งหลายต้องเอาเงินสำรองมาอุดสภาพคล่องเพื่อชดเชยขาดทุนกันอุตลุด" …แหล่งข่าวกล่าว

ล่าสุด…จากการตรวจสอบเทียบเคียงราคาหุ้น ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2530 จำนวนหุ้นเพิ่มทุน 12 หลักทรัพย์ มีเพียง 4 หลักทรัพย์เท่านั้น ที่ระดับราคาเสนอขายยังต่ำกว่าราคาตลาด (แต่มีแนวโน้มดิ่งลงทุกวันตามกระแสตลาด) นอกนั้นที่เหลือราคาสูงกว่าตลาดทั้งสิ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ราคาหุ้นดิ่งลง คนที่ขาดทุน PAPER LOSS ที่ถูก "จุดพลุ" ขึ้นมาเพื่อปลอบขวัญ ก็คือ …หุ้นไหนที่ยังคงมีอัตราผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร อย่าขาย เก็บไว้รอปันผล??

ฟังดูมีเหตุผลดีเหมือนกัน เพราะเหลืออีกไม่นานก็จะทราบเงินปันผลแล้ว!

หุ้นที่ปันผลดีคือ หุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์และหุ้นอุตสาหกรรมบางตัว ซึ่งก็สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของกองทุนร่วมพัฒนานั่นแหละ! (ดูตารางผลตอบแทน)

"คนเล่นหุ้นตอนนี้ (หลังวิกฤติวันจันทร์สีดำ) ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด โดยดูว่าระดับราคาหุ้นที่ผันผวนมีเหตุผลหรือเปล่า" โยธิน อารี บงล. กรุงเทพธนาทรให้ความเห็นคล้าย ๆ จะบอกว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นลักษณะเช่นนี้เป็นการวัดฝีมือนักเล่นหุ้น/นักลงทุนว่าใครจะมีความสามารถแค่ไหน

ถ้าเก็บไว้ไม่ขายออกจากพอร์ต รับปันผลแต่ขาดทุนบัญชี (PAPER LOSS) รออนาคตตลาดอาจจะพลิกฟื้น

แต่ขณะนี้ดูเหมือนความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่หวนกลับมา ทั้ง ๆ ที่ทางการได้ใช้มาตรการกระตุ้นตลาดหลายประการ เช่น ลดเพดานมาร์จิ้นท์ (MARGIN) จาก 70% เหลือ 50% ปรับ SPREAD ราคาหุ้นจาก 5% เป็น 10% และขยายพอร์ตการลงทุนของกลุ่มบริษัทเงินทุน&หลักทรัพย์ และโบรคเกอร์จาก 60% เป็น 100% ของเงินกองทุน

"การขยายพอร์ตการลงทุนให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และโบรคเกอร์ครั้งนี้น่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท" ดร. ศิริ การเจริญดี กล่าว

มีความเป็นไปได้สูงมากว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มองมาตรการการกระตุ้นตลาดเหล่านี้เป็นผลทางจิตวิทยามากกว่าผลปฏิบัติที่จริงจัง

"สถานการณ์ตลาดหุ้นหลังวิกฤติวันจันทร์สีดำมันแย่มาก จะมีโบรคเกอร์กี่รายกันที่ปริมาณการลงทุนในพอร์ตเต็ม 60% ของเงินกองทุน ผมว่าอย่างเก่งส่วนใหญ่ก็มีแค่ 30% ของเงินกองทุนเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะขยายเป็น 100% ยากมาก" แหล่งข่าวกล่าว

มาตรการขยายพอร์ตเป็น 100% ของเงินกองทุนนี้มีเงื่อนไขว่า บริษัทโบรคเกอร์ต้องมีเงินลงทุนเต็มเพดาน 60% ของเงินกองทุนแล้วเท่านั้น จึงจะได้รับอนุญาตจากแบงก์ชาติให้ขยายเงินลงทุนได้ 100% ซึ่งมีเพียง 20 รายเท่านั้น

นักลงทุนส่วนใหญ่ตอนนี้จึงมุ่งใช้ท่าที "รอดู" การกลับเข้ามาทุ่มซื้อของนักลงทุนต่างชาติทั้งหน้าเก่าและใหม่ (จากญี่ปุ่น) มากกว่า ด้วยความเชื่อปัจจัยพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FACTOR) ของหุ้นและตลาดยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.