ทุกครั้งที่เกิดสงครามที่แบงก์แหลมทอง โฟกัสมักจะมุ่งไปที่สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์
หรือสุระ จันทร์ศรีชวาลา ทั้ง ๆ ที่ยังมีอีกหลายคนที่น่าสนใจ
เหตุการณ์ครั้งที่สมบูรณ์ถือไพ่เหนือกว่าบังสุระครั้งหลังสุด ทำให้หลายคนสะดุดกับชายชราคนหนึ่งผู้เป็นคีย์ให้ฝ่ายสมบูรณ์ชะลอความปราชัยไว้ชั่วขณะ
สรร อักษรานุเคราะห์คือคน ๆ นั้น ชายชราผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะของสมบูรณ์หลายต่อหลายครั้ง
"คุณสรรนี่แหละที่เป็นคนคอยเตือนคุณสมบูรณ์หลายต่อหลายครั้ง ไม่ให้ใช้อารมณ์มากในหลาย
ๆ เหตุการณ์" คนรู้เรื่องดีเล่า
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักอดีตประธานกรรมการแบงก์แหลมทองคนนี้ดี
ว่ากันว่าวันที่สรร สั่งถอนเงินจากแหลมทองกว่า 80 ล้าน มีหลายคนถึงกับอุทานว่า
"สรรรวยมาจากไหน"
ถ้าจะเข้าใจสรรก็ต้องหวนย้อนกลับไปดูอดีตเมื่อ 72 ปีที่ผ่านมา ที่โรงพิมพ์พิมพ์ไทย
ถนนพลับพลาไชย หลังวัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม เป็นคนราศีมิถุน
เขาเรียน ม. 1-8 ที่เทพศิรินทร์ จบเมื่อายุ 19
สรรก็เหมือนเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ เขารักความก้าวหน้า อยากเรียนสูง ๆ เพราะ
"มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน" แต่เพราะ "ผมมีพี่น้องถึง
12 คน ตอนนั้นพี่ผมอยากเรียนหมอ ผมตอนนั้นเรียนพิเศษอยู่เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย
จึงสละไปเรียนสัตวแพทย์เพราะปีเดียวก็ได้เงินเดือนแล้ว 50 บาท แถมเวลาออกต่างจังหวัดยังได้เบี้ยเลี้ยงนับร้อย"
สรร ทวนอดีตช่วงเสียสละให้ฟัง เพราะช่วงนั้นพ่อเสีย
พ่อของสรร พระสันทัด อักษรสาร เป็นคนมองการณ์ไกล หลังจากสรรจบมัธยมบริบูรณ์
(ม. 8) พ่ออยากให้เขาค้าขาย
สรรออกไปค้าข้าวสารทั้งปลีกและส่ง แถมไปประมูลขายให้กองทัพเรือส่งข้าวตามเรือรบ
พี่เขยของเขาก็เป็นกัมปะโด ทำงานกับบริษัทดีคูเปอร์ ซึ่งส่งออกข้าว ภายหลังตั้งร้านสามไทย
อยู่เชิงสะพานนพวงศ์ เปิดไม่นานพ่อก็เสีย และการที่พ่อเสียนี่เองได้นำความลำบากมาสู่ครอบครัวเป็นอันมาก
"สมัยนั้นพ่อเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย หลังจากรัชกาลที่
6 สวรรคต รัชกาลที่ 7 ให้คนอื่นมาทำแทน ที่ลำบากเพราะตอนที่พ่อยังอยู่ท่านได้เดือนละ
400 บาท สมัยนั้นมากโข ท่านเสียเราก็ลำบาก เพราะท่านเป็นข้าราชการสำนักไม่มีบำนาญ"
สรรเล่าสาเหตุ
หลังจากที่พี่ชายเรียนแพทย์อยู่ปีสุดท้ายสรรก็ออกจากราชการมาฝึกงานอยู่ที่บริษัทข้าวไทย
"ผมเป็นลูกน้องมาเลียบคุนนะ" สรรเล่า
ช่วงที่สำคัญอีกช่วงคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเศรษฐีหลายคนตั้งตัวได้เพราะมัน
และช่วงนี้นี่เองที่สรรแต่งงานกับสมจิตต์ เลิศดำริห์การ เมื่อตอน 2485 ระหว่างสงครามกำลังปะทุ
พ่อตาของสรรเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อเขาอยู่ไม่น้อย ขุนเลิศมีโรงงานทอผ้าที่ทันสมัยเอามาก
ๆ ในสมัยนั้น เพราะเป็นโรงงานแรก ๆ ก็ว่าได้ที่ใช้เครื่องไฟฟ้า ขณะที่แห่งอื่น
ๆ ยังใช้กี่กระตุก แต่ขณะที่เกิดสงครามทุกอย่างก็หยุดหมด
ระหว่างนั้นขุนเลิศหลงไหลกลิ่นอายการเมือง ทิ้งธุรกิจหมด "ผมก็ต้องรับทำแทนท่าน"
ลูกเขยเล่าให้ฟัง
ความเป็นอัจฉริยะทางการค้าของสรรเริ่มฉายแววก็ตอนสงครามนั่นเอง
สมัยสงครามข้าวของทุกอย่างขาดแคลน "สินค้าส่วนมากใช้บัตรปันส่วน"
คนเก่าคนแก่อรรถาธิบาย
ผ้าเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่อยู่ในลักษณะนี้ด้วย
สมัยสงครามสรรอพยพไปอยู่บ้านญาติที่ระยอง เขาสังเกตเห็นว่าแถว ๆ ระยองมีบัตรปันส่วนมากแต่หาผ้าแลกไม่ได้
เขาก็เลยนำผ้าจากกรุงเทพไประยอง
"แต่มันไม่คุ้มหรอกนะ เพราะเมตรนึงเราได้แค่ 10% เท่านั้นเอง"
อดีตประธานแบงก์แหลมทองพูดถึงกำไร
เขาเริ่มพลิกแพลงตรงนี้ เพราะว่ารัฐบาลควบคุมราคาผ้าไม่ให้ขายเกินราคาที่ตั้งไว้
ถ้าทำตามกฎของรัฐมันจะไปได้อะไร สรรมาคิด ๆ ดูว่า รัฐคุมแต่ผ้าผืน ๆ แต่ไม่ได้คุมราคาผ้าถุง
"ผ้าถุงหนึ่งผืนมันใช้ประมาณเมตรครึ่ง ซึ่งผ้าขนาดนี้เอามาตัดเสื้อเชิ้ตได้ตัวนึง"
สรรคำนวณให้ฟัง
นำผ้าถุงจากกรุงเทพไปขายผืนละ 5 บาท "ขายเร็วมาก กำไรเยอะเลย เพราะยังไม่มีคนอื่นคิดทำแบบผม"
สรรเล่าเหตุการณ์ตอนนั้น
การนำผ้าถุงไปแลกกับบัตรผ้าปันส่วนสมัยนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นทางการค้าของเขาอย่างจริง
ๆ จัง ๆ ก็ว่าได้
สงครามสงบ เขาก็เริ่มอาชีพใหม่โดยเป็นตัวแทนขายเครื่องรับวิทยุยี่ห้อเทสลาจากเชโกสโลวะเกีย
"ผมเซ้งตึกแถว 3 ห้องในราคา 1 หมื่น แถว ๆ บำรุงเมือง"
เขาเริ่มต้นด้วยเงิน 2 หมื่น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องเลิก "เพราะตำรวจบอกให้เลิกค้าขายกับเชโกฯ
เพราะว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์"
ร้านจาตุรงคอาภรณ์ที่เขาตั้งขึ้นโดยใช้ชื่อร้านของขุนเลิศที่ยุติกิจการในช่วงสงครามก็ต้องเริ่มสินค้าตัวใหม่
เพราะเทสลาถูกเหตุผลทางการเมือง
สินค้าใหม่นี่เองที่สร้างความเป็นปึกแผ่นให้เขา
หลายคนในวงการค้าได้ดีเพราะ "เพื่อน" สรรก็อยู่ในประเภทนี้
เพื่อของสรรที่ชื่อสำเริง เนตรายนต์ ทำงานในสถานทูตไทย แต่เป็นข้ารัฐการของอเมริกาแนะนำว่าควรค้าขายกับญี่ปุ่น
สรรก็ปฏิบัติตามคำแนะนำ "ผมเริ่มติดต่อสถานทูต ให้เขาแนะนำบริษัทให้
และผมก็ทำจดหมายโต้ตอบเองทุกอย่าง" สรรซึ่งจบแค่ ม. 8 เทพศิรินทร์และจบสัตวแพทย์ซึ่งเรียนเพียง
1 ปี แต่เพราะมีอาจารย์ฝรั่งคอยเทรนให้ การเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษโต้ตอบจึงไม่เป็นปัญหา
สรรได้เป็นเอเยนต์เอ็นอีซี ซึ่งเป็นบริษัทผิตโทรทัศน์รายใหญ่ของญี่ปุ่น
สรรมือขึ้นมาก ๆ เขาขายผลิตภัณฑ์ของเอ็นอีซีให้สถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์และองค์การโทรศัพท์
(ช่วงทำการค้านี้นี่เองที่เขาใช้บริการของธนาคารแหลมทอง)
หลังจากนั้นเขาก็หลุดจากการเป็นเอเยนต์ของเอ็นอีซีที่เขากำลังขึ้น
ว่ากันว่าสรรเสียรู้ญี่ปุ่นเข้าให้แล้ว เขาถูกใช้เป็นสะพานเพื่อบุกเบิกตลาดในเมืองไทยเท่านั้น
และ "หลังจากนั้นเขาก็ให้มิตซุยเข้ามาเป็นตัวลุยตลาดในไทยและปรากฏบริษัทแจแปน
เรดิโอ คอร์ป (เจอาร์ซี) ขึ้นมาแทน" ผู้รู้ในวงการเล่า
จากนั้นสรรก็ไม่ย่อท้อแม้จะเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ ก็ตามกับเล่ห์เหลี่ยมของลูกพระอาทิตย์
สรรเป็นตัวแทนของมาร์โคนีของอิตาลี และที่สำคัญคือบริษัทแมคโดนัลซึ่งเขาขายดีมากจนได้โล่
ถ้าจะพูดถึงความเป็น "นักบุกเบิก" ของสรร ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่เหมือน
"เดอะเฟิร์สท์ ไทคูน" อย่างสุริยน ไรวา แต่ก็นับว่าเป็น "ไพโอเนียร์"
มีระดับอีกคนหนึ่ง
ประมาณปี 2520 สรรได้เป็นเอเยนต์ซูบารุ "ซึ่งขายดีมากในสมัยนั้น เป็นรถรุ่นแรก
ๆ ของเมืองไทยมั้งที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า" นักเลงรถคนหนึ่งเล่า
แต่เพราะว่าเขาถูกบีบให้ตั้งโรงงานประกอบรถราคาเป็นร้อย ๆ ล้าน "ผมจะไปเอาเงินขนาดนั้นมาลงได้ยังไง
รถคันหนึ่งกำไรหมื่นกว่า ๆ ผมยกให้คุณถาวรไป" และถาวร พรประภาก็ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อจากสรรอยู่นานพอสมควร
และใครสักกี่คนจะรู้บ้างว่าคนที่นำวิทยุทรานซิสเตอร์ยี่ห้อโซนี่เข้ามาเมืองไทยเป็นครั้งแรก
ๆ ก็คือ สรร และสรรนี่แหละเป็นผู้ค้าอาวุธให้กองทัพเรือยุคแรก ๆ ก่อนเนาวรัตน์
พัฒโนดมมานานมาก "แต่วงการนี้ก็อย่างที่รู้กันต้องมือถึงและอาวุธมันเอามาฆ่ากัน
มันบาป ผลเลยเลิก" วิคเตอร์ อาร์มสตรอง ยี่ห้อที่เขาเป็นตัวแทนก็เปลี่ยนมือ
สรรอีกแหละที่เป็นผู้ร่วมคิดประดิษฐ์เครื่องโทรพิมพ์ไทย-อังกฤษในเครื่องเดียวกันได้
เขาคิดร่วมกับสมาน บุณยรัตพันธ์
นอกจากนี้เขายังเป็นคนเริ่มชักชวนอิสราเอลมาร่วมในโครงการอโกร-อินดัสตรี้ด้วย
แต่โครงการนี้ล้มอย่างไม่น่าเป็นไปได้
โครงการที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และธนาคารอีก
3-4 แห่ง
เป็นโครงการตั้งโรงงานปลูกผักบรรจุกระป๋อง โดยดึงเอาอิสราเอลเข้ามาถ่ายทอดโนว์ฮาว
โครงการนี้ลงทุนหลายร้อยล้านบาท ถ้ามีใครบอกว่าโครงการนี้จะเจ๊งตอนนั้นคงมีคนหัวเราะจนฟันโยกแน่
ๆ
แต่โครงการนี้ล้มเพราะคน ๆ เดียวไปปลุกระดม?
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงงานซึ่งได้ทีมงานจากอิสราเอลได้จ้างให้ชาวบ้านปลูกพืชที่ต้องการ
(จังหวัดที่ว่าอยู่แถว ๆ เหนือ) โดยออกเมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ทุกอย่างให้
และจะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 10 บาท "แต่พอถึงเวลาจะไปรับซื้อของมาป้อนโรงงาน
ชาวบ้านหาว่าเราไปหลอกเพราะราคาตลาดให้ 20 บาท เขาไม่คิดถึงทุนที่เราลงไปให้เขา
โรงงานเราก็ไม่มีของป้อน หนัก ๆ เข้าก็ขาดทุน ตั้งมาสองปีขาดทุนไปหลายร้อยล้านบาท
ตอนหลังมาถึงบางอ้อว่าเพราะมีคนมาปลุกระดม" สรรทวนอดีตที่เจ็บปวดให้ฟัง
เวลานั้นอยู่ในราว ๆ ปี 2516
จนปัดนี้โรงงานนี้ก็ยังอยู่ สรรว่ายังสภาพดี "ผมอยากจะให้รัฐบาลเข้าจัดการกับโครงการเพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน"
สรรเป็นคนทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ "แตกฉานเกือบทุกเรื่องที่จับ" และเสียดายกับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาชนที่รัฐบาลน่าจะเข้ามาจับ
สรรเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับงานหรืออะไรทุกอย่างที่เขาสนใจ ถ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
"ผมก็จะถามเขา ไม่กลัวคนหาว่าโง่หรอก"
แบงก์แหลมทองเป็นตัวอย่างที่ดี จริง ๆ แล้วสรรเข้ามาในแหลมทองเป็นครั้งแรกในฐานะลูกหนี้ด้วยซ้ำ
แต่ก็ก้าวขึ้นมาเป็นประธานกรรมการแบงก์ที่มีปัญหาวุ่นวายมากที่สุดอย่างแบงก์แหลมทองนี้ได้
"ผมเป็นลูกค้าที่ดีมาตลอด ไม่เคยขอโอ/ดีเลย เขาก็ชวนผมซื้อหุ้น ผมก็ซื้อ
แล้วก็ได้เป็นกรรมการในที่สุดเพราะเครดิตผมดี" สรรเท้าความ
จนถึงวันนี้ วันที่แหลมทองไม่มีประธานชื่อสรร วันที่อาบังเป็นใหญ่แต่สรรก็ยังเป็นประธานกรรมการบริษัทจาตุรงคอาภรณ์
(1923) จำกัด ขายอุปกรณ์โทรคมนาคม เส้นเลือดใหญ่ของเขา
เป็นประธานกรรมการบริษัทพัฒนานาฬิกา ที่ผลิตตัวเรือนให้นาฬิกาชื่อดังของสวิสอย่าง
มิโด้ ฯลฯ
เป็นรองประธานอุตสาหกรรมปิโตรเคมิกัลไทยที่มีลูกเขยคนเก่งจัดการ
เป็นประธานกรรมการบริษัท จี. เอส. สตีล ที่มีสมบูรณ์นั่งเป็นแชร์แมน และยังมีหุ้นในอี๊สต์เอเชียติ๊กอีกจำนวนหนึ่ง
แถมยังมีที่ดินที่นนทบุรีอีกนับร้อยไร่ ทั้ง ๆ ที่ "ผมไม่นิยมเล่นที่และเล่นหุ้น"
วันนี้ของสรรผ่านการต่อสู้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย พบกับความสำเร็จ และมีบ้างที่ล้มเหลว
เพราะบางสิ่งอยู่เหนือขีดความสามารถ แต่สรรก็ยังเป็นสรร
เป็นคนรวยเงียบ ๆ อยู่เช่นเดิม