|
ยัมงัดอีโคโนมิคโมเดลสู้ศก.ลดทุน30%-ทุ่มงบ1.8พันล.ลุย
ผู้จัดการรายวัน(30 มกราคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
"ยัม" ชูสูตรเด็ด "อีโคโนมิคโมเดล" ลดต้นทุน 30% สู้ภัยเศรษฐกิจ หวังดันปีนี้เติบโต 25% พร้อมทุ่มงบรวมสองค่ายผนวกกลุ่มเซ็นทรัล 1,800 ล้านบาท ปูพรมเพิ่มอีกทั้งเคเอฟซี-พิซซ่าอัท รวมกว่า 114 สาขาทั่วไทย ลงรากลึกระดับอำเภอมากขึ้น
นายศรัณย์ สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านเคเอฟซีและพิซซ่าฮัท กล่าวว่า ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ต้องเน้นการพัฒนาระบบการทำงานต่อเนื่อง เนื่องจากว่าสถานการณ์แวดล้อมทั้งภาวะเศรษฐกิจของไทยและโลกยังมีอยู่ รวมทั้งยังมีความผันผวนด้านการเมือง และการแข่งขันในตลาดคิวเอสอาร์ที่รุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะสูตรการขยายสาขาที่เรียกว่า อีโคโนมิคโมเดล (Economic Model) ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังคงต้องพัฒนาต่อเนื่องจากนี้อีก คือเป็นโมเดลการขยายสาขาที่ไม่จำเป็นต้องมียอดขายมาก แต่ใช้งบลงทุนต่ำลงกว่า 30-40% ตัดรายละเอียดบางอย่างในร้านที่ไม่กระทบกับแบรนด์ออกไป พื้นที่เล็กลง หรือเมนูบางอย่างที่ไม่จำเป็น และขยายนอกศูนย์การค้า เน้นต่างจังหวัดมากขึ้น เพราต้องการลงระดับอำเภอให้มากขึ้น ซึ่งเคเอฟซีมีแล้วกว่า 50% จากจำนวน 700 กว่าอำเภอทั่วไทย ส่วนพิซซ่าฮัทยังไม่มาก
"โมเดลนี้ทำให้เราประสบความสำเร็จมากเมื่อปีที่แล้ว เพราะสามารถเปิดร้านในโมเดลนี้ของเคเอฟซีได้ 12 แห่งลงทุนเฉลี่ย 7 ล้านบาท เดิมขนาดใหญ่มากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป และ ร้านพิซซ่าฮัทได้ 10 แห่ง ลงทุนเฉลี่ย 7 ล้านบาท เดิมขนาดใหญ่ลงทุนมากกว่า 7 ล้านบาทขึ้นไป" นายศรัณย์กล่าว
ส่วนในภาพรวมปีที่แล้วลงทุนรวม 1,500 ล้านบาท เปิดสาขาได้รวม เติบโตรวม 14% ทั้งๆที่ตั้งเป้าหมายไว้เพียง 7% ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดของยัมทั่วโลก แบ่งเป็นเคเอฟซีเติบโต 14% เปิดสาขาได้รวม 51 สาขา ถึงสิ้นปีที่แล้วมีรวม 350 สาขา ส่วนพิซซ่าฮัทเติบโต 12% เปิดได้ 12 สาขา ถึงสิ้นปีที่แล้วมีรวม 86 สาขา
รวมปีที่แล้วทั้งสองแบรนด์เปิดได้ 63 สาขา สูงที่สุดเท่าที่เคยทำมากว่า 25 ปีในไทย ทั้งนี้ตัวเลขลงทุนและสาขาทั้งหมด แบ่งเป็นของยัม 70% และของกลุ่มเซ็นทรัล 30%
ทั้งนี้ปีนี้ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 1,800 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน 55% และงบการตลาด 45% หรือ 500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดสาขาได้มากกว่าปีที่แล้ว แบ่งเป็นเคเอฟซีประมาณ 92 สาขา คาดสิ้นปีมีรวม 450 สาขา ขณะนี้มี 360 สาขา ส่วนพิซซ่าฮัทคาดจะเปิดได้ 22 สาขา แบ่งเป็นดีลิเวอรี่ 17 สาขา และร้านแบบนั่งทานและดีลิเวอรี่ 5 สาขา ถึงสิ้นปีมีรวม 108 สาขา ขณะนี้มี 88 สาขาแล้ว คาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโตรวมกว่า 25%
"โมเดลใหม่นี้เริ่มที่เมืองไทย และตอนนี้หลายประเทศก็กำลังดูๆและศึกษาของเราอยู่เหมือนกัน ทำให้เรามีความมั่นใจกับโมเดลนี้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละสาขา โดยใช้เงินสดหมุนเวียนของบริษัทลงทุนทั้งหมด ไม่ได้กู้เงินแต่อย่างใด" นายศรัณย์กล่าว
กลยุทธ์การตลาดหลักๆของทั้งสองแบรนด์ยังคงมุ่งเน้นที่นวัตกรรมอาหาร ความคุ้มค่าของเงินที่ลูกค้าใช้จ่าย ความสะดวกในการเข้าถึงของลูกค้า กิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งเคเอฟซีมีเมนูว่าง 60% และเมนูหลัก 40% และดีลิเวอรี่เติบโตถึง 30% โดยในกรุงเทพฯโตถึง 50% ส่วนพิซซ่าฮัท คาดว่าจะเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้เป็น 40% จาก 25% จากกลยุทธ์ที่วางไว้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|