เมเจอร์ฯงัด4สูตรกรำศึกปีวัวเร่งสร้างตลาดใหม่ดันรายได้


ผู้จัดการรายวัน(30 มกราคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

"เมเจอร์" โฟกัสเส้นทางปี 52 มุ่งสร้างตลาดใหม่ หวังเพิ่มอัตราการเข้าชมภาพยนตร์จาก 2 เป็น 2.5 ครั้งต่อเดือน ระเบิด 4 ยุทธศาสตร์รับศึก ทุ่ม 100 ลบ.ทำระบบเอ็มบ๊อกซ์ สร้างความสะดวกในการซื้อตั๋วหนัง ขยายสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 5 สาขา กอดคอค่ายหนังโปรโมตร่วมกัน จับมือพาร์ทเนอร์ชิฟ จัดอีเวนต์หนักขึ้น เชื่อผลักรายได้หนังโตอีก 10-15% ในปีนี้

นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปีนี้มองว่า ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีอยู่ เมื่อดูจากคอนเท้นท์ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายถือว่าดีมาก ไม่ว่าจะเป็น นเรศวรมหาราช, องค์บาก, แฮร์รี่ พอตเตอร์, ทรานฟอร์มเมอร์2 และอีกหลายเรื่อง ถือเป็นอีกปีที่หน้าหนังดีใกล้เคียงกับปี 2550 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจปีนี้ที่ทรงตัว จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะมีอัตราการเติบโตได้เท่าปี 2550 หรือไม่ แต่มองว่าน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท

ในส่วนของบริษัทฯที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 75-80% ในปีที่แล้ว ยังเติบโตดีอยู่ ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโตไว้ 10-15% ภายใต้เศรษฐกิจทรงตัว จากยุทธศาสตร์ 4 ข้อใหญ่ ที่จะนำมาใช้ในปีนี้ คือ

1.เน้นสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งปีนี้ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ทำระบบการให้บริการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ด้วยตนเอง เรียกว่า เอ็ม บ๊อกซ์ ซึ่งขณะนี้ทดลองใช้อยู่ที่เอสพละนาด และสยามพารากอน คาดว่าภายในเดือนก.พ. จะมีการติดตั้งระบบซอฟท์แวร์ใหม่ทั้งหมดเรียบร้อย และเปิดให้บริการได้ 20 สาขาของเมเจอร์ที่มียอดขายสูงสุดต่อไป

2.การขยายสาขา ปีนี้ยังคงมุ่งขยายสาขาเพิ่ม อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ล่าสุด คือ เอสพละนาด รัตนาธิเบศร์ ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ ยิ่งมีโรงภาพยนตร์มาก ระยะเวลาในการฉายภาพยนตร์ต่อเรื่องที่จะมากขึ้นอีกเฉลี่ย 10 วัน จากเดิมหนัง 1 เรื่องจะมีเวลาเข้าฉาย 2-3 อาทิตย์ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดการละเมิดลิขสิทธิ์หนังได้

3.การประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้ว่าหนังดี น่าชม ปีนี้ทางบริษัทฯจะร่วมกับค่ายหนังหลายๆค่าย เพื่อช่วยกันโปรโมทภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ไม่ว่าจะเป็น การทำโปรโมชั่น จัดอีเว้นท์ พรีเมี่ยม และเรื่องราคา มั่นใจช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าชมภาพยนตร์ต่อเรื่องได้มากยิ่งขึ้น

และ4.โปรแกรมซีซันนิ่ง ในเทศกาลต่างๆ บริษัทฯจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ จัดอีเว้นท์มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบการตลาดทั้งปี 150 ล้านบาทเท่าปีก่อน แต่ปีนี้จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดอีเวนต์ใหญ่ขึ้น และถี่ขึ้น

ล่าสุดร่วมกับบริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด จัดแคมเปญ"Valentine Movie Lover:Fly Me To The Moon" ภายใต้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการดูหนังเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงวาเลนไทน์ในปีก่อน

นายอนวัช กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นสร้างตลาดผู้ชมใหม่ เพราะมองว่ายังมีจำนวนผู้บริโภคอีกหลากหลายที่ยังไม่นิยมดูหนังในโรงภาพยนตร์ ผ่านยุทธศาสตร์ที่กล่าวมา เชื่อว่าอย่างน้อยในแง่จำนวนคนดูหนังกลุ่มเดิม จากปกติเฉลี่ยเข้าดูเดือนละ 2 เรื่อง น่าจะเพิ่มเป็น 2.5 เรื่องได้ หรือทั้งปีน่าจะมีจำนวนบัตรเข้าชมได้มากกว่า 30 ล้านใบจากปีก่อน รวมทั้งช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 10-15%

อย่างไรก็ตาม นายอนวัช กล่าวถึง เรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมีการเจรจากับทางช่องทางโฮมวิดีโอในการส่งหนังสุ่ระบบการเช่าจากเดิม 1 เดือน มาเป็น 3 เดือน ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ช่องทางขายโฮมวิดีโอดีขึ้น จากเดิมที่หนังออกโรงไม่ถึงเดือนก็เข้าช่องทางโฮม พวกละเมิดจะก๊อปในโรง ภาพจะไม่ชัด จึงหันมาก็อปจากแผ่นแท้ที่ตามมาไม่ถึงเดือนจากช่องทางโฮม ดังนั้นหากเวลาหนังใหม่มาสู่ช่องทางโฮมห่างจากโรงประมาณ 3 เดือน น่าจะช่วยให้โฮมวิดีโอเติบโตได้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.