ต้นทุนหุ้นกู้ถูกบ.ข้ามชาติระดมทุนผ่านลูก


ผู้จัดการรายวัน(30 มกราคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

บลจ.ชี้ ต้นทุนออกหุ้นกู้ไทยแสนถูก จูงใจเอกชนข้ามชาติ ใช้เครือข่ายบริษัทลูก ใช้เป็นช่องทางระดมทุนส่งเงินกลับบริษัทแม่ในต่างประเทศ ระบุแม้จะเป็นโอกาส แต่นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจ เหตุคุณภาพยังด้อยกว่า แม่อันดับเครดิตเท่ากัน "เอวายเอฟ" ประเมินทิศทางกองทุนตราสาหนี้ เงินจ่อไหลเข้ามันนี่มาร์เกต ด้าน "กสิกรไทย" ระบุ ดอกเบี้ยระยะสั้น ยังลงได้อีก ส่วนระยะยาวมีสัญญาณขาขึ้น รับซัพพลายในตลาดล้น ห่วงเงินกลับจากเกาหลี 2 แสนล้าน กดดอกเบี้ยลงใก้ลเงินฝาก

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ บริษัทเอกชนเริ่มหันกลับมาออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการเงินจนสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกลดลง ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าว รวมไปถึงกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยด้วย

โดยการออกหุ้นกู้ของกลุ่มบริษัทข้ามชาตินี้ นอกจากจะระดมทุนเพื่อใช้เป็นสภาพคล่องในประเทศแล้ว ยังรวมถึงระดมทุนเพื่อส่งกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศด้วย เนื่องจากการออกหุ้นกู้ในไทยมีต้นทุนที่ค่อนข้างถูกกว่า ดังนั้น ในส่วนของบริษัทเอกชนข้ามชาติ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินไหลออกไป เช่นหุ้นกู้ของบริษัทโตโยต้า ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

"ตลาดการเงินไทยอยู่ในภาวะผิดปกติ เพราะต้นทุนในการออกหุ้นกู้ค่อนข้างถูกมาก ถ้าเทียบกับหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตระดับเดียวกันในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีผลเชิงลบด้วยเช่นกัน เพราะเงินลงทุนต่างชาติคงไหลเข้ามาในตลาดบ้านเราไม่มาก เนื่องจากไม่มีความจูงใจ"นายประภาสกล่าว

นายประภาสกล่าวต่อถึงทิศทางการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ว่า ปัจจุบันผลตอบแทนของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่กำหนดอายุการลงทุน (ฟิกซ์เทอม) ระยะสั้น 3 เดือนหรือ 6 เดือนลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) และดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ในส่วนของกองทุนมันนี่มาร์เกตนั้น จะพบว่าผลตอบแทนยังดีกว่าและลดลงช้ากว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีตราสารหนี้ที่ลงทุนอยู่เดิมหลงเหลืออยู่ ซึ่งจากผลตอบแทนที่ยังสูงอยู่ ประกอบกับนักลงทุนบางส่วนยังกังวลการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกตมากขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่ากองทุนมันนี่มาร์เกตจะโตมากขึ้นในปีนี้

ด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้ ในส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้น ยังมีแนวโน้มปรับลดลงไปได้อีก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในส่วนของตราสารหนี้ระยะยาว กลับมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปได้ เนื่องจากปัจจุบัน มีซัพพลายออกมาในตลาดค่อนข้างมาก ประกอบมีการขายทำกำไรออกมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยในส่วนนี้ ปรับเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจจะแย่ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวก็มีโอกาสปรับลดลงเช่นกัน

ทั้งนี้ จากแนวโน้มดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนส่วนหนึ่งโยกเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้อายุ 3-5 ปีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังมีส่วนต่าง (สเปรด) ระหว่างตราสารหนี้ระยะยาวประมาณ 3-5 ปี และ 2 ปี ประมาณ 0.30-0.50% แต่หากดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับลดลงอีกครั้ง อัตราผลตอบแทนของตราสารในกลุ่มนี้ก็จะปรับลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนมันนี่มาร์เกตเอง ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมากองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) ของ บลจ.กสิกรไทยเอง ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาทจากเงินลงทุนรวมประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาส่วนใหญ่ เนื่องจากกลัวความเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนระยะยาวที่มีความผันผวนสูง ขณะเดียวกัน ยังมีเงินลงทุนส่วนหนึ่งโยกมาจากกองทุนฟิกซ์เทอมที่ครบอายุด้วย

นายวินกล่าวว่า ในปีนี้จะมีเงินลงทุนไหลกลับมาจากกองทุนเกาหลีใต้ประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายนที่จะครบอายุเป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนนี้ หากกลับเข้ามาลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกตประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 1 แสนล้านบาท รวมกับของเดิมที่มีอยู่ในระบบแล้วประมาณ 2 แสนล้านบาท ก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนปรับลดลงไปได้อีก เนื่องจากจำนวนเงินที่จะเข้ามารวมกว่า3 แสนล้านบาท ไม่สอดคล้องกับซัพพลายในตลาดที่มีออกมาค่อนข้างน้อย และเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว หากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากแคบลงก็มีความเป็นไปได้ที่เงินจะไหลกลับเข้าไปในระบบเงินฝากอีกครั้ง ถ้าในช่วงนั้นแบงก์ออกเคมเปญระดมเงินฝากด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของบลจ.กสิกรไทยเอง ก็อยู่ระหว่างการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดเค พันธบัตรเกาหลี 1 ปี เอเอ ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีอายุการลงทุนประมาณ 1 ปี เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีเท่านั้น โดยหลังจากเปิดขายกองทุนเป็นวันแรกไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนพอสมควร ล่าสุด มียอดจองซื้อเข้ามาแล้วประมาณ 500 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนที่เข้ามานั้น ส่วนหนึ่งเป็นเงินลงทุนที่รอลงทุนหลังจากเราหยุดขายกองเกาหลีใต้ไปเมื่อเดือนธันวาคม และส่วนหนึ่งก็เป็นเงินลงทุนใหม่ แต่เงินลงทุนต่อจากกองเกาหลียังไม่มี เนื่องจากในช่วงเดือนนี้ ไม่มีกองทุนที่ครบอายุ

"ปัจจุบันกองทุนเกาหลียังมีรูมให้พอลงทุนได้ และยังมีส่วนต่างดอกเบี้ยกับพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ โดยกองทุนให้ผลตอบแทนประมาณ 2% ซึ่งกองทุนนี้ เราเลือกลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากเชื่อว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ยังมั่นคง และผลกระทบจากหนี้ระยะสั้นที่เป็นความกังวลก็น้อยกว่าที่คาด"นายวินกล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.