โอ.พี.ผนึก3กลยุทธ์ ปั๊มยอดขาย 2,700ลบ.


ผู้จัดการรายสัปดาห์(26 มกราคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

โอเรียนทอล ทุ่ม 500 ล้านบาท ชู 3 กลยุทธ์ปลุกกำลังซื้อผู้บริโภค ล่าสุด ลอนช์นวัตกรรมกลุ่มดูแลผิวหน้า หลังซุ่มวิจัยและพัฒนาสินค้าจากความต้องการเชิงลึกของสาวไทยนาน 3 ปี พร้อมเร่งขยายสแตนอะโลนเล็งปีนี้ 10 จุดทั่วประเทศ หวังเจาะกำลังซื้อตลาดต่างจังหวัด รองรับลูกค้าสาวภูธรที่มีแนวโน้มเพิ่มสัดส่วนสูงกว่ากทม.ในอีก 2 ปี ส่วนการจัดโปรโมชั่นโอ.พี.วางงบสัดส่วน 30%จากงบรวม มอบส่วนลด จัดกิจกรรมพิเศษ หวังสร้างสมาชิกใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม การเปิดฉากบุกในครั้งนี้ โอ.พี.ตั้งเป้าเข็นยอดขายแตะที่ 2,700 ล้านบาท

ยอดขาย 2,700 ล้านบาท ที่ค่ายโอ.พี.ตั้งเป้าไว้ในปี 2552 แม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่เมื่อเทียบกับปี 2551 จะเห็นว่าเป็นการเติบโตเพียง 9% ซึ่งถือว่าเป็นการขยายตัวที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ปิดยอดขายได้ 2,478 เติบโตสูงถึง 34%เมื่อเทียบกับปี 2550 สำหรับการตั้งเป้าหมายในปีนี้ พาสนา อินทราทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอ.พี.เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โอเรียนทอล พริ้นเซส กล่าวว่า ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ทำให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง รวมทั้งการแข่งขันที่มีความรุนแรงต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้โอ.พี.จึงวางการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว

ฉะนั้น เพื่อฝ่าปราการด่านหินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ โอ.พี.จึงเตรียมแผนรับมืออย่างเต็มที่ ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ การออกสินค้าใหม่ การขยายสาขา และการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก ภายใต้เม็ดเงินรวม 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 300 ล้านบาท

เริ่มตั้งแต่การออกสินค้าใหม่ ที่ปีนี้โอเรียนทอลเตรียมเข็นสินค้าพร้อมนวัตกรรมใหม่ออกมาตอบโจทย์สาวรักสวยมากกว่า 300 เอสเคยู โดยน้ำหนักการให้ความสำคัญนั้น ผู้บริหารโอ.พี.อธิบายว่า จะมุ่งไปยังกลุ่มสินค้าหมวดที่ทำรายได้หลักและกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยปัจจุบันรายได้ของรวมของโอเรียนทอล พริ้นเซส แบ่งเป็น กลุ่มดูแลผิวหน้า 35% กลุ่มคัลเลอร์ 35% กลุ่มบอดี้และแฮร์แคร์ 25% และกลุ่มไลฟ์สไตล์ 5% โดยแต่ละกลุ่มมีการเติบโต 30%, 44%, 24% และ 30% ตามลำดับ

จึงไม่ต้องแปลกใจที่การลอนช์นวัตกรรมใหม่ตัวแรกของโอเรียนทอลฯปีนี้ จะตกเป็นหน้าที่ของสินค้าหมวดดูแลผิวหน้า ที่ครั้งนี้มีการทุ่มงบกว่า 35 ล้านบาท สำหรับการเปิดตัว “Natural Cosmeceutical” นวัตกรรมดูแลผิวแบบครบวงจร มีให้เลือก 3 ชุด คือ ไวท์เทนนิ่ง, แอนตี้เอจจิ้ง และ แอนตี้แอคเน่ ซึ่งถือเป็นสินค้าไฮไลต์ในหมวดดูแลผิวหน้าปีนี้ พร้อมส่งหนังโฆษณาชุด “เร็ว” เพื่อสื่อถึงแนวคิด “ผิวสวย..ไม่มีทางลัด” ต่อยอดจาก “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย” คอนเซ็ปต์ที่ลอนช์ออกมาเมื่อปีก่อน แต่ก็ยังคงตอกย้ำ DNA ของแบรนด์ในการเป็นเครื่องสำอางสารสกัดจากธรรมชาติ โดยความน่าสนใจของสินค้าตัวนี้อยู่ที่ แนวคิดหลักที่ใช้พัฒนานวัตกรรมดังกล่าว ซึ่งได้มาจากการวิจัยเชิงลึกถึงความต้องการของผู้บริโภค ที่พบว่า นอกเหนือจากการได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วแล้ว ผู้หญิงยังต้องการความยั่งยืนของผลลัพธ์ที่ได้ด้วย ซึ่งค่ายนี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนาและวิจัยโปรดักส์ดังกล่าวนานถึง 3 ปี มากสุดเมื่อเทียบกับการลอนช์สินค้าตัวอื่น ดังนั้นการกำหนดราคาสินค้าตัวนี้แม้จะสูงกว่าสินค้าในไลน์เดียวกันราว 30% แต่เชื่อได้ว่าผู้บริโภคสาวจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี

“การตั้งโจทย์พัฒนาสินค้าโดยความต้องการของลูกค้าเชิงลึก เป็นการนำมาถึงยอดขาย”

นอกจากนี้ เพื่อให้สร้างสีสันให้กับสินค้าหมวดอื่น ค่ายนี้เตรียมเข็นสินค้าใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 2% ของยอดขาย โดยคาดว่าจะเปิดตัวสินค้ากลุ่มคัลเลอร์ในช่วงกลางปี ขณะที่สินค้ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่ถือเป็นหัวหอกในการปั๊มยอดขายในปีที่ผ่านมา พาสนา บอกว่าปีนี้จะเปิดตัวสินค้าดังกล่าวจำนวน 2 ชุด แบ่งเป็นชุดละประมาณ 100 – 150 เอสเคยู ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ขณะที่การขยายสาขาของโอ.พี.ในปีนี้ที่ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 13 จุด จากตอนนี้ที่มีอยู่ 271 แห่งทั่วประเทศ ด้วยเงินลงทุนเฉลี่ย 2–3 ล้านบาทต่อสาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 3 แห่ง ต่างจังหวัด 10 แห่ง ทั้งนี้เพื่อรองรับกำลังซื้อและจำนวนลูกค้าในต่างจังหวัดที่มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันโอ.พี.มีลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัด 47% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอยู่ 44% ซึ่งผู้บริหารค่ายนี้มั่นใจว่า ลูกค้าต่างจังหวัดและกรุงเทพฯจะมีสัดส่วน 50 – 50 ในปีนี้ และในปี 2553 ลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัดจะมีสัดส่วนมากกว่าลูกค้าในกรุงเทพฯราว 1 – 2% ดังนั้น เพื่อรองรับฐานลูกค้าดังกล่าวที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น ทางโอ.พี.จึงเร่งสำรวจพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในต่างจังหวัด พบว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น จึงเป็นช่องว่างและโอกาสในการเปิดชอปรูปแบบสแตอโลน ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายได้ราว 10 สาขาในปีนี้ โดยตอนนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมทีมงานเพื่อศึกษาและหาข้อมูลในภาคสนาม

สำหรับการให้สิทธิพิเศษหรือการมอบโปรโมชั่นกับลูกค้าสมาชิก ซึ่งถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าพร้อมทั้งสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ได้เป็นอย่างดี วัดจากรายได้รวมของโอเรียนทอลฯ มาจากลูกค้าสมาชิก 85% ลูกค้าทั่วไป 15% ขณะที่ยอดการซื้อของลูกค้าสมาชิกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 996 บาทต่อบิล และลูกค้าทั่วไปมียอดการซื้อ 780 บาทต่อบิล ดังนั้นในปีนี้ทางโอ.พี.จึงจัดสรรงบจำนวน 30% จากงบรวม 500 ล้านบาท เพื่อมอบส่วนลด ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นอันดับแรก รองลงมาคือการสะสมแต้ม เพื่อแลกซื้อสินค้า หรือเข้ากิจกรรมพิเศษ และในปีนี้โอ.พี.ได้เพิ่มการสื่อสารกับลูกค้า ด้วยการจัดส่งแมกกาซีนให้กับสมาชิกเป็นครั้งแรก เพื่อกระตุ้นและจูงใจลูกค้าทั่วไปให้เป็นสมาชิกมากขึ้น โดยปัจจุบันโอ.พี.มีสมาชิกรวมกว่า 521,717 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 44% เป็นกลุ่มที่มีการซื้อในช่วง 6 เดือน 90% ส่วนกลุ่มที่มีการซื้อในช่วง 3-4 เดือน มีสัดส่วน 75% และจากการโหมบุกกลยุทธ์ดังกล่าว ค่ายนี้เชื่อว่าจะสามารถขยายฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนคน และนี่คือกลยุทธ์หลักของโอเรียนทอล พริ๊นเซส ที่เชื่อว่าจะช่วยเข็นยอดขายให้ถึง 2,700 ล้านบาทหรือเติบโตได้ 9%ในปีนี้ตามเป้าหมาย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.