คลังปรับศก.6%บสท.ส่งหนี้KTB


ผู้จัดการรายวัน(27 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

แบงก์กรุงไทยรับบริหารลูกหนี้รายย่อยที่มีมูลหนี้ 2 แสน ถึง 2 ล้านบาทต่อราย ต่อจาก บสท. 1.2 หมื่นราย มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท คาดดำเนินการเสร็จภายใน 6 เดือน แลกกับค่าธรรมเนียมบริหาร 200 ล้านบาท ขณะที่ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ยันโยกหนี้เน่าระบบแบงก์พาณิชย์ไทยที่เหลือเกือบ 8 แสนล้านบาทเข้าเอเอ็มซีรัฐ ทำให้ภาพลักษณ์สถาบันการเงินดีขึ้น ด้านคลังปรับตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มเป็น 6.1% จากเดิม 5.1% หลังไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทย ขยายถึง 5.6%

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กล่าววานนี้ (26 ส.ค.) ว่า บสท.จ้างธนาคารกรุงไทยผู้บริหารสินทรัพย์ ซึ่งเป็นลูกหนี้รายย่อย ที่มีมูลหนี้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 20 ล้านบาทต่อราย รวม 12,000 ราย มูลหนี้รวม 24,000 ล้านบาท โดยมอบหมายธนาคารกรุงไทยบริหารและปรับปรุงโครงสร้างหนี้

สำหรับลูกหนี้ 12,000 ราย บสท.รับโอนจาก 6 สถาบันการเงิน คือไทยธนาคาร บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท บริษัทบริหารสินทรัพย์รัตนสิน บริษัทเงินทุนกรุงไทยธนกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี ลูกหนี้ธนาคารกรุงไทย รวมทั้งยังอยู่ในขั้นตอนโอนลูกหนี้ของบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ อีกประมาณ 11,000 ราย มูลหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะได้ข้อสรุปว่า ต้องโอนลูกหนี้รายใดบ้าง

"บสท. ต้องจ้างธนาคารกรุงไทยให้ช่วยบริหารลูกหนี้รายย่อย เนื่องจากลูกหนี้มีจำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ บสท. มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว ดังนั้นการที่ธนาคารกรุงไทยมีความพร้อม เพราะมีสาขามากกระจายอยู่ทั่วประเทศ จะสามารถช่วยให้การดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้เหล่านี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"

นายสมเจตน์กล่าวว่า การจ้างธนาคารกรุงไทยบริหาร บสท.ตกลงว่า หากเจรจากับลูกหนี้ไม่สำเร็จ บสท.จะชดเชยต้นทุนให้กรุงไทย หากปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ บสท. จะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้ 2 เท่าของต้นทุน

รับค่าธรรมเนียม 200 ล้านบาท

ด้านนายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าธนาคารจะใช้สาขากว่า 600 แห่งทั่วประเทศ และสำนักงานธุรกิจเป็นผู้บริหารสินทรัพย์ ส่วนวิธีการบริหาร ธนาคารจะบริหารตามแนวทางที่ บสท.กำหนด ซึ่งธนาคารร่วมกันสร้างคู่มือปฏิบัติงาน ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้บริหารสินทรัพย์จะทำหน้าที่เจรจาและเสนอแผนปรับโครงสร้างหนี้ แต่อำนาจอนุมัติอยู่ที่คณะกรรมการบริหาร บสท. ธนาคารตั้งเป้าหมายให้ลูกค้าทุกรายมีข้อสรุปภายใน 6 เดือน

"ธนาคารมั่นใจว่าจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ โดยลูกค้ารายย่อยที่มียอดหนี้คงค้างตั้งแต่ 200,000 บาทถึง 20 ล้านบาท ซึ่งธนาคารรับมาบริหารในครั้งนี้ คาดว่าจะมีลูกค้าที่มีศักยภาพ และสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้มากกว่า 50% คาดว่าธนาคารจะมีรายได้จากการบริหารและค่าธรรมเนียมในการรับชำระหนี้ประมาณ 200 ล้านบาท" นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ยังกล่าวถึงการแปลงหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล-หนี้เน่า) เป็นสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ-สินทรัพย์เน่า) ว่าธนาคารมีแนวทางจะแปลงเอ็นพีแอลเป็นเอ็นพีเอ คาดว่าจะเพิ่มเอ็นพีเออีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมี 20,000 ล้านบาท จากเอ็นพีแอล 98,000 ล้านบาท ทั้งหนี้ที่อยู่ในกระบวนการศาลและเจรจากับลูกหนี้ ว่ามีความประสงค์จะแปลงหนี้เพื่อชำระหนี้หรือไม่

BAM รับลูกพร้อมบริหารเอ็นพีเอ

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์การ (BAM) กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เบ็ดเสร็จ โดย บสก.พร้อมจะรับโอนเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอ เนื่องจากมีทีมงานบุคลากรที่มีประสบการณ์ แต่ปัญหาอยู่ที่ใครจะเป็นแกนหลักรับโอนหนี้เน่าจากธนาคารพาณิชย์

"จริงๆ แล้วเอเอ็มซีที่สามารถบริหารได้อย่างครบวงจรมีอยู่เพียง 3 ราย คือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) และ บสก. โดยสามารถดำเนินการบริหารได้เลย ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย" นายบรรยงกล่าว

"อุ๋ย"ยันโอนสินทรัพย์เน่าให้เอเอ็มซีรัฐ

ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง แนว ทางและความคืบหน้าโอนสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) สถาบันการเงินทั้งระบบให้สถาบันการเงินอื่นบริหาร ว่าขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการคงต้องใช้เวลามากพอสมควร คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นปีนี้ เนื่องจากต้องแก้ไขกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หน่วยงานรับโอนสินทรัพย์เน่าสถาบันการเงินได้

หน่วยงานที่จะรับโอนเอ็นพีเอ เขายืนยันว่าจะไม่ใช่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) แน่นอน แต่จะเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็ม ซี) ของรัฐที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้รับซื้อสินทรัพย์รอการขายได้เท่านั้น โดยการรับเอ็นพีเอ จะซื้อขาด หลังจากนั้นจะปรับโครงสร้างแล้วขายสินทรัพย์นั้นๆ ต่อไป

"ทางการต้องการโยกเอ็นพีเอออกจากระบบสถาบันการเงินโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ระบบสถาบันการเงินสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยเร็วที่สุด และเพื่อให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับอันดับเครดิตให้กับสถาบันการเงินของไทย เนื่องจากปัญหาเอ็นพีเอ เป็นเพียงปัญหาจุดเดียว ที่ทำให้ระบบสถาบันการเงินของไทยยัง มีภาพที่ไม่สดใสนัก"

คลังปรับเป้า ศก. ปีนี้เพิ่มเป็น 6.1%

นางไพฑูรย์ พงษ์เกสร รองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ปรับ ประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่เป็น 6.1% จากคาดการณ์เดิม 5.1% เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปีนี้ ดีกว่าคาดมาก

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ โฆษก สศค. กล่าวว่าสาเหตุที่ต้องปรับประมาณการเนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จากที่คาดว่าจะกระทบจากการระบาดโรคซาร์ส ซึงเดิมคาดว่าไตรมาส 2 จะโตไม่ถึง 4% แต่ตัวเลขจริงดีขึ้น ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การส่งออก ใช้กำลังผลิต ซึ่งดี ขึ้นทั้งคู่ เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า 11 ชาติดีขึ้น

จึงต้องปรับประมาณการให้สอดคล้องความเป็นจริง แหล่งข่าวกล่าวว่า สาเหตุที่ปรับประมาณการ พราะการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 2 สูงถึง 5.6% จากเดิมคาดเพียง 3.5%

"เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืนตัวเลขที่ 5.1% เพราะการส่งออกดีมากไตรมาส 3-4 คาดไร้วิกฤต จากภายนอก" การลงทุนคาดทั้งปีนี้ คาดขยาย 18% ส่งออก 10% การบริโภค 6% จากปีที่แล้ว

FITCH สนกระจายอำนาจคลัง

ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระ- ทรวงการคลัง เปิดเผยว่าวานนี้ (26 ส.ค.) ตัวแทน จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์ อิบคา (FITCH) จากอังกฤษ เก็บข้อมูลเศรษฐกิจไทยจากคลัง ประเด็นที่ฟิทช์ อิบคาสนใจ 2 ประเด็น ได้แก่ ปัญหาหนี้เน่า และการกระจายอำนาจทการคลังของไทย

โดยคลังชี้แจงแผนกระจายอำนาจ และการกำกับดูสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ว่าไม่มีปัญหาหนี้เน่า และการดำเนินงานแต่ละแห่งมีกำไร แต่ส่วนสถาบันการเงิน ฟิทช์จะขอข้อมูลจาก ธปท.เพิ่มเติม



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.