แบงก์ไทยกลืนIFCT ดันขึ้นแท่นอันดับที่7


ผู้จัดการรายวัน(21 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

คลังไฟเขียวยุบไอเอฟซีทีรวมกับไทยธนาคาร (BT) ดันเป็นแบงก์เอกชน ใหญ่อันดับ 7 ด้วยสินทรัพย์รวมกว่า 5 แสนล้านบาท คาดกระบวนการเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หวังสู้กับแบงก์พาณิชย์เอกชน "อุ๋ย" ระบุหลังควบรวมคลังลดสัดส่วนถือหุ้นไม่ถึง 50% แถมได้เปรียบแบงก์เกิดใหม่ไม่ต้อง เพิ่มทุน เพราะเงินกองทุนเข้าเกณฑ์แบงก์ชาติแล้ว ด้านผู้บริหารไอเอฟซีที "อโนทัย" ต้องยุติบทบาท ขณะที่เอ็มดีบีที "พีรศิลป์" ยังลูกผีลูกคน เพราะคลังอาจหาคนใหม่เสียบแทน

ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยวานนี้ (20 ส.ค.) กรณีบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) จะควบรวมกิจการกับธนาคารไทยธนาคาร (บีที)ว่าสัปดาห์หน้า จะทำการสำรวจทรัพย์สินและหนี้สิน (Due diligence) ระหว่างไอเอฟซีทีกับไทยธนาคาร โดยจะยุบไอเอฟซีทีให้ไทยธนาคารเป็นแกนก่อนสิ้นปีนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย หลังควบรวมจะทำให้คลังถือหุ้นไม่เกิน 50% แน่นอน

หลังจากนั้นคลังจะลดสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลงเรื่อยๆ เมื่อฐานะธนาคารดีขึ้น เนื่องจากคลังมีนโยบายไม่ประสงค์ถือหุ้นมากอยู่แล้ว "วันนี้เราเข้าไปตามความจำเป็นในอนาคตถ้าแบงก์ดีขึ้นก็ปล่อยไป หลังควบรวมเชื่อมั่นว่าแบงก์ใหม่จะดีขึ้นแน่นอน ในประเทศไทยมีโอเวอร์ แบงกิ้งอยู่แล้ว ถ้าให้แบงก์เล็กๆ แหวกว่ายก็จะไปไม่ไหว" ร.อ.สุชาติ กล่าว นโยบายควบรวมได้คุยกับผู้ว่าแบงก์ชาติมานานแล้ว และความเห็นตรงกัน ยืนยันว่าผู้ถือหุ้น ปัจจุบันทั้ง 2 แห่งจะไม่กระทบแน่นอน ขณะที่จะแจ้งเรื่องกับตลาดหลักทรัพย์ภายหลัง

"ผมพูดมาหลายครั้งแล้ว ว่าแบงก์เล็กไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้ที่จะควบรวมกัน เพราะมีต้นทุน ดำเนินงานและการเงินสูงมาก ด้านการปล่อยกู้ก็ไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์ใหญ่ได้ ซึ่งแบงก์จะควบรวมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่า แบงก์ไหนจะควบรวมกับแบงก์ไหน" ร.อ.สุชาติกล่าว

ทางด้านม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ ว่ากระทรวงการคลังอนุมัติแผนควบรวมกิจการไทยธนาคาร และ IFCT ตามที่ ธปท.เสนอหลังจากศึกษา รายละเอียดควบรวมกิจการระยะหนึ่งแล้ว เพราะจำเป็นต้องเสริมฐานะสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เพื่อให้เข้มแข็งมากขึ้น สามารถแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์ได้

แบงก์อันดับ 7 สินทรัพย์ 5 แสนล้าน

การควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้เกิดธนาคารพาณิชย์ใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นธนาคารขนาดสินทรัพย์ใหญ่อันดับ 7 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย

หลังควบรวมกิจการ ธนาคารใหม่นี้จะเป็นธนาคารเอกชน เพราะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นไทยธนาคาร 49% และคลังถือหุ้นไอเอฟซีที 1 ใน 3 ทำให้เมื่อควบรวมกิจการลักษณะ 50% ต่อ 50% ทำให้หุ้นที่รัฐถือในธนาคารใหม่ต่ำกว่า 50%

การควบรวมดังกล่าว จะเป็นลักษณะ A+B เป็น C จะเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ไม่มีใครเป็น แกนนำควบรวม หลังจากการอนุมัติครั้งนี้ ทั้ง 2 สถาบันต้องหารือกันเพื่อวางแนวทางควบรวมกิจการ ซึ่งต้องใช้เวลาควบรวมกิจการระยะหนึ่ง เพราะมีหลายขั้นตอน

เป็นแบงก์เอกชน

"แบงก์ใหม่ที่เกิดขึ้น จะเป็นแบงก์เอกชนที่ดำเนินธุรกิจได้ในเชิงพาณิชย์ และยังเป็นการเสริมให้ระบบแบงก์มีความเข้มแข็ง ที่จะเป็นตัวนำในการส่งให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง และภาครัฐยังคงมีแบงก์รัฐที่ช่วยสนองนโยบายรัฐในบางจุดอยู่ จะเป็นการผนึกกำลังเข้ามาดันเศรษฐกิจได้ รวมทั้งยังเป็นผลดีกับสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งไอเอฟซีทีมีข้อจำกัดเรื่องของกรอบการดำเนินธุรกิจ ทำเฉพาะปล่อย สินเชื่ออุตสาหกรรม ในขณะที่แบงก์ไทยมีกรอบการดำเนินธุรกิจครบวงจร" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

เหตุที่เลือกควบรวมกิจการสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เนื่องจากทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อรายใหญ่เช่นเดียวกัน การควบรวมกิจการดังกล่าว ทั้ง ไอเอฟซีที และไทยธนาคาร ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ตามแผนเดิมที่คลังอนุมัติไว้แล้ว เนื่องจากจะมีทุนเพียงพอ ไทยธนาคารเงินกองทุนต่อสิน ทรัพย์เสี่ยงถึง 20.23%

ธนาคารใหม่จะมีเงินกองทุนฯ เพียงพอตามมาตรฐานธปท. ซึ่งสร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายหนึ่ง ที่มีเงินฝากมาก แต่สินเชื่อน้อย และอีกฝ่ายที่มีสินเชื่อ แต่ไม่มีเงินปล่อยสินเชื่อ ส่วนการบริหารงานหลังควบรวมกิจการ พนักงานจะไม่มีใครตกงาน และแข็งแกร่งมากขึ้น

ส่วนขั้นตอนควบรวมกิจการ จะเรียกคณะกรรมการบริหารทั้ง 2 แห่งหารือ และหาข้อสรุปที่เหมาะสมทั้ง 2 ฝ่ายทุกๆด้าน ทั้งด้านธุรกิจ พนักงาน โดยเฉพาะสัดส่วนและบุคคลที่เหมาะสมบริหาร ธนาคารใหม่ ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหา การจัดสรรจะเป็นตัวแทนทั้ง 2 องค์กร ๆ ละครึ่ง

"การควบรวมครั้งนี้ เป็นวาระที่เปิดเผยและโปร่งใส เป็นความสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่าย โดย ธปท.เป็นตัวกลางในการแนะนำเท่านั้น จากเดิมที่การควบรวมกิจการมักเป็นการตัดสินใจของ ธปท.ที่สั่งการให้มีการควบรวมกิจการ"

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ส่วนตีค่าแลกเปลี่ยนหุ้น และมูลค่าสินทรัพย์ทั้ง 2 แห่งควบรวมกิจการ ต้องเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ธปท.เห็นว่าต้องตั้งตัวกลาง หรือที่ปรึกษาการเงิน เป็นตัวกลางตีมูลค่า เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือได้ เปรียบเสียเปรียบ โดยยึดการประเมินจากมูลค่าบัญชีทั้ง 2 แห่ง แล้วกำหนดสัดส่วนควบรวมกิจการที่เหมาะสม

ส่วนประเด็นปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เขาเชื่อว่าไม่น่าที่จะมีปัญหามากนัก เนื่องจากไทยธนาคารหนี้เน่าน้อยมาก เพราะโอนไปบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)เกือบหมด ยังมีสัญญา จะโอนหนี้เน่าไปอีกรอบ ส่วนไอเอฟซีที มีแนวทางแก้ไขปัญหารองรับการควบรวมแล้ว จะเป็นการควบรวมเบ็ดเสร็จ

ไทยธนาคารปัจจุบันสินทรัพย์ประมาณ 247,454 ล้านบาท เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตาม มาตรฐานบีไอเอส 20.23% แบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 19.60% เงินกองทุนขั้นที่ 2 ที่ 0.63% พนักงานทั้งหมด 2,257 คน ขณะที่สาขามีเพียง 85 แห่งทั่วประเทศ

เบื้องหลังควบไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที

การตัดสินใจควบรวมกิจการสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เนื่องจากธปท. ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตรวจเงินแผนดิน (สตง.) ศึกษาแนว ทางการแก้ไขปัญหาขาดทุนของไอเอฟซีที ที่มีต่อเนื่องหลายปี จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่คลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ต้องอัดฉีดเงินเพิ่มทุนเพื่อพยุงฐานะ

การตรวจสอบของ ธปท. ไอเอฟซีทีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสมัยออกตราสารและกู้เงินต่างประเทศ เพื่อระดมเงินทุนดำเนินธุรกิจ ประสบปัญหาจากการลดค่าเงินบาทครั้งแรกปี 2527 จึงมีหนี้มาก และขาดทุนเรื่อยมา ขณะที่การดำเนินธุรกิจ ยังมีข้อจำกัดปล่อยกู้ภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่ ทำรายได้น้อย

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งล่าสุดปี 2540 ลูกหนี้รายใหญ่เกิดปัญหาขาดทุนเป็นหนี้เสีย ไอเอฟซีที

แนวทางแก้ไขปัญหาของคลัง อดีตคือเพิ่มทุนให้ตลอดเวลา ขณะที่ไอเอฟซีทีเริ่มปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (เอสเอ็มอี) แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นๆ ขณะที่ลูกหนี้เอสเอ็มอียังไม่เข้มแข็งพอ หากเป็นเช่นนี้กระทรวงการคลังมองแล้วต้องเพิ่มทุนให้ไม่มีที่สิ้นสุด

ธปท. ศึกษาและมองว่า การดำเนินธุรกิจของไอเอฟซีที ด้านปล่อยกู้ยังคงทำได้ เพราะมีฐาน สินเชื่อระดับหนึ่ง จึงมองถึงภาพรวมการกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ที่ยังมีปัญหาบางแห่ง ที่เปราะบาง หรือดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เต็มที่

จึงมองมาที่ไทยธนาคาร ที่ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ เหมือนไอเอฟซีที ขณะที่ขนาดและเครือข่ายยังเล็ก หากดำเนินธุรกิจต่อไป อาจมีปัญหา ธปท. จึงเสนอคลัง เพื่อขอควบรวมกิจการระหว่าง ไอเอฟซีทีและธนาคารไทยธนาคาร 2 เดือนก่อน

ช่วงแรก คลังเห็นด้วยกับข้อเสนอ ธปท. แต่ให้พิจารณาอีกครั้ง เพราะคลังมองว่าธนาคารพาณิชย์ อื่นๆ ยังมีปัญหาอยู่ ต้องแก้ไข เช่น ธนาคารทหารไทย คลังต้องการจะให้แก้ไขปัญหา หรือ ดำเนินการครบวงจร และเสร็จสมบูรณ์ทั้งระบบ จึงชะลอแผนควบรวมไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที

วานนี้ ขุนคลัง-ผู้ว่าการ ธปท. เผยแผนควบ รวมดังกล่าว แสดงว่าการมองทางแก้ปัญหาธนาคาร ทหารไทยจบแล้ว หลังคลังล้มแผนร่วมทุน ANZ ธนาคารใหญ่อันดับ 4 ของออสเตรเลีย และคลังมีแผน 2 เพิ่มทุนแบงก์ทหารไทยชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับตำแหน่งผู้บริหารแบงก์ใหม่ หลังไทยธนาคารกลืนไอเอฟซีทีแล้ว ต้องแบ่งตามความเหมาะสม และสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 องค์กร แต่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานกรรมการธนาคาร ด้านไอเอฟซีทีคงต้องยุติบทบาท หมายถึงนายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ไอเอฟซีที รวมถึงนายสมหมาย ภาษี รองปลัดคลัง ที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าจะนั่งตำแหน่งประธานกรรมการ ก็ต้องยกเลิกเช่นกัน

ด้านตำแหน่งผู้บริหารไทยธนาคาร ยังครึ่งๆ กลางๆ ว่านายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัด การใหญ่ ไทยธนาคาร จะยังอยู่ในตำแหน่งธนาคาร ใหม่หรือไม่ ต้องขึ้นกับความสามารถการบริหาร ที่ต้องโชว์ให้คลังเห็น โดยเฉพาะบุคคลสำคัญ 2 คน คือ นายนิพัทธ พุกกะณะสุต ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และนายวิจิตร สุพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีคลัง ที่จะเป็นผู้พิจารณาร่วม

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า นาย พีรศิลป์ จะได้รับมอบหมายดูแลรับผิดชอบกองทุนวายุภักดิ์ ซึ่งหมายความว่า นายอโนทัย และนายพีรศิลป์ อาจไม่ได้อยู่ในแบงก์ใหม่ทั้งคู่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.