|

AYSมองศก.ไทยจีดีพีโต0.5-2%
ผู้จัดการรายวัน(19 มกราคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.กรุงศรี ประเมินครึ่งปีแรก ท่องเที่ยวไทยยังทรุด เหตุความรุนแรงของเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศ ยังเป็นปัจจัยฉุดความมั่นใจ แต่ยังเชื่อครึ่งปีหลังได้เห็นต่างชาติกลับมา ระบุความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจไทย คือจุดแข็งสำคัญ ส่วนการได้รัฐบาลใหม่ สร้างภาพรวมการเมืองทิศทางดีขึ้น ลุ้นจีดีพีปี 52 โตได้ 0.5-2% เชยร์ลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม ทั้งพลังงานทดแทน -โรงพยาบาล-เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
นายรุ่งศักดิ์ สาธุกรรม ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสและผู้จัดการฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ AYS เปิดเผยว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน- ธันวาคมในปี 51 ที่ติดลบ ซึ่งสหรัฐฯ เอง ถือเป็นประเทศส่งออกหลักของทั่วโลก
ทั้งนี้ ภาคการส่งออกจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ การส่งออกทางตรงและทางอ้อมผ่านประเทศในภูมิภาคเอเชียไปยังประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดสหรัฐฯในส่วนทางตรง33%และทางอ้อม60% และส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
จากสิ่งที่เกิดขึ้น มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยปี 2552 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3ประการคือ . ทิศทางสภาพเศรษฐกิจโลก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลของแต่ละประเทศพยายามอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคและภาคธุรกิจในประเทศของตน 2.ปัญหาการเมืองของไทย ที่ในปัจจุบันดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังไม่ยุติเพราะยังมีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) ออกมาต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคาประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ 3.ตัวศักยภาพที่เหลือของธุรกิจในประเทศ
โดยในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้ ภาคการท่องเที่ยวน่าจะยังไม่ดี เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกในช่วงกลางปี 51 และความรุนแรงทางการเมืองในประเทศช่วงปลายปี และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ก็คงไม่ดีเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทหลายแห่งเริ่มมีชะลอการผลิตและแผนขยายงานเพื่อหวังรักษากระแสเงินสดให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ส่วนในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี คาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเริ่มหันกลับมาเที่ยวเมืองไทย ภายหลังจากผลการสำรวจของ CBI พบว่า ประเทศไทยได้คว้าอันดับต้นๆ ของผลโหวต ‘Best Country Brand for Value for Money’ หรือประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด ติดอันดับที่ 3 ของความมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ติดอันดับที่ 3 ของความเป็นมิตร และอันดับที่ 4 สำหรับการเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายในการชอปปิ้ง
“ปัจจุบันทางบริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์จุดต่ำสุดหรือสิ้นสุดของวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้อยู่ตรงไหน แต่เชื่อหากสถานการณ์การเมืองของไทยดีขึ้นจะเป็นตัวน่าจะกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม เมืองไทยยังมีจุดแข็งที่สำคัญคือ ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจในประเทศที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับธุรกิจในต่างประเทศ อาทิ ประเทศเกาหลีที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 36-37%ต่อจีดีพีของประเทศ
ขณะเดียวกัน ภายหหลังจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ทำให้ภาพรวมการเมืองดูมีทิศทางดีขึ้นประกอบกับพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลง รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มทยอยออกมา จึงทำให้เชื่อว่าในปีนี้ ดุลการค้าของประเทศน่าจะเกินดุล และจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาทำให้คาดว่าตัวเลขจีดีพีของไทยปี 52 น่าจะโตอยู่ที่ 0.5-2%
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี) 0.75% เหลือ 2% เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศถือเป็นสิ่งที่ดีและเชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปลงอีก 1-1.5%
ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง และอีกหลายสายที่กำลังทยอยออกมา ตลอดจนโครงการที่ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งน่าจะทำให้รายได้ของกลุ่มก่อสร้างและเหล็กดีขึ้น ทดแทนรายได้ทางตลาดเอกชนที่เริ่มหดตัวตามวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ จากการประเมินภาพรวมในปี 2552 เชื่อว่ายังกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่ในเกณฑ์ดี 3 กลุ่มได้แก่ 1.กลุ่มพลังงานทดแทน 2.โรงพยาบาล 3.เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยกลุ่มพลังงานทดแทน แม้ว่าปริมาณความต้องการน้ำมันจะลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาปรับลดลงมาต่ำกว่าระดับ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีความต้องการน้ำมันอยู่มากในประเทศจีน จึงทำให้มองว่าราคาน้ำมันคงไม่ถูกแบบนี้ตลอดไป และคนก็จะหันมาสนใจพลังงานทดแทน
สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในช่วงทีผ่านมากลุ่มนี้ไม่มีการขยายงานมากนัก แต่หันมาเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้มากขึ้น อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนในต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร แม้ราคาและคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) จะลดลง แต่จากการสำรวจในช่วงทีผ่านมาพบว่า มีนักลงทุนต่างประเทศพยายามเข้ามาถือครองพื้นที่การเกษตรในประเทศผ่านตัวแทนที่เป็นคนไทย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากหลังเกิดวิกฤตซับไพรม์ จึงทำให้หลายประเทศหันมาให้ความสนใจด้านอาหารมากขึ้น เพื่อทดแทนในส่วนที่ประเทศของตนเองไม่มี
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือAYS กล่าวว่า จากการประเมินทิศทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 52 กลุ่มธุรกิจที่น่าจะมีรายได้ลดลง ได้แก่ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่กลุ่มที่น่าจะยังมีรายได้เติบโตคือ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มค้าปลีกที่มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ และกลุ่มก่อสร้างที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของกนง.
ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในปี 2552 ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกได้แก่ บมจ.สยามแม็คโคร หรือMAKRO บมจ.ซีพี ออลล์ หรือCPALL บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หรือ BIGC และกลุ่มแบงก์ ธนาคารกรุงเทพ หรือBBL ธนาไทยพาณิชย์ หรือSCB กลุ่มพลังงานบมจ.บ้านปู หรือBANPU บมจ.ปตท.เคมิคอล หรือPTTCH กลุ่มอสังหาริมทรัพย์บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือAP เนื่องจากมีงานในมือเยอะและมีกระแสเงินอยู่ในเกณฑ์ดีและมีความสามารถในการขยายโครงการได้เร็ว
อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่ 380-650 จุด โดยครึ่งปีแรกน่จะอยู่ที่ 520 จุด เป็นผลจากพิษเศรษฐกิจ ขณะที่ครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ที่ 650 จุด เนื่องจากอาจเห็นทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|