ปตท.สผ.ยอมรับกำไรปีนี้อาจไม่โต เนื่องจากแบกภาระค่าใช้จ่ายหลุมแห้งจากการสำรวจและปริมาณขายก๊าซแหล่งบงกชลดลง
แต่หากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นกว่า 22 เหรียญฯ ก็มีสิทธิหนุนให้กำไรขยับเพิ่มขึ้นได้
เผย ไตรมาส 3 บันทึกตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายหลุมแห้งที่เวียดนามเพิ่มอีก 90 ล้านบาท
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าปีนี้มีกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ที่มีกำไร 12.09 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรก ปริมาณการจำหน่ายก๊าซฯ จากแหล่งบงกชลดลง
เพราะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่ากำหนด รวมทั้งมีการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายในหลุมแห้งในโครงการแปลงที่
9-2และโครงการแปลง 16-1 ที่เวียดนาม ในช่วงครึ่งปีแรก 695 ล้านบาท
คาดว่าในไตรมาส 3 /2546 บริษัทจะบันทึกการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายหลุมแห้งในโครงการแปลงที่
16-1 เพิ่มอีก 1 หลุมเป็นเงิน 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 80-90 ล้านบาท
"ขณะนี้คุณภาพก๊าซฯจากแหล่งบงกชได้รับการแก้ไขปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้จ่ายก๊าซฯได้เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกอยู่ 8%"
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กำไรสุทธิอาจ เพิ่มขึ้นได้ หากราคาน้ำมันในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้นกว่าประมาณการที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่
22 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 27 เหรียญ แต่มีแนวโน้มว่าไตรมาส
4 ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงอีก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายปิโตรเลียมในปีนี้เฉลี่ยที่ 106,860 บาร์เรล/วัน
โดยในไตรมาส 2/2546 บริษัทมียอดขายปิโตรเลียมอยู่ที่ 108,380 บาร์เรล/วัน
ต.ค.เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซฯแหล่งอาทิตย์
ส่วนความคืบหน้าในโครงการแหล่งอาทิตย์ ซึ่งปตท.สผ.ถือหุ้นใหญ่ 80% และเป็นผู้ดำเนินการนั้น
คาดว่าบริษัทจะลงนามข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกัน (Head of Agreement)ได้ปลายเดือนนี้
หรือต้นกันยายน หลังจากนั้นจะลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซฯได้ประมาณปลายเดือนตุลาคม 2546
ซึ่งราคาก๊าซฯแหล่งดังกล่าวจะไม่ต่ำกว่าแหล่งยูโนแคล ที่ขายอยู่เฉลี่ย 2.4-2.53
เหรียญต่อล้านบีทียู โดยจะอยู่ระหว่างราคาแหล่งยูโนแคล กับแหล่งบงกชที่มีราคาขายก๊าซฯ
3.1 เหรียญต่อล้านบีทียู
หลังจากนั้น ปตท.สผ.จะเริ่มนำก๊าซฯป้อนเข้าสู่ระบบประมาณ 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ประมาณเดือนเมษายน 2549 ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทจะทยอย
บันทึกปริมาณสำรองปิโตรเลียมจากแหล่งอาทิตย์เข้ามารวมในปริมาณสำรวจของปตท.สผ.หลังจากมีการลงนามข้อตกลงเบื้องต้นในปลายสิงหาคม
นี้ด้วย ทำให้บริษัทมีปริมาณสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
ในภาวะที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ปตท.สผ.ได้เร่งพัฒนาโครงการ
ใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เช่น โครงการอาทิตย์ โครงการเจดีเอ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเร่งดำเนินการนำก๊าซฯป้อนให้ไทย
และมาเลเซียได้เร็วขึ้นกว่ากำหนดมาอยู่ ในปี 2551 แต่ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีการการปรับแผนการดำเนินการจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการซื้อขายก๊าซฯก่อน
ทิศทางการลงทุนของปตท.สผ. ในอนาคต นายจิตรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทยังให้ความสำคัญในการลงทุนแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ
รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยบริษัทจะไม่เข้าไปลงทุนในหลายประเทศจนกลายเป็นภาระ
แต่จะเน้นกาารลงทุนที่สามารถสร้างรายได้ที่ดีได้
นอกจากนี้ ปตท.สผ.มีความสนใจ ซื้อหุ้นต่อจากไทยเชลล์ ฯ ในแหล่ง S 1 หลังจากมีข่าวว่าไทยเชลล์จะขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือ
โดยเราพร้อมที่จะเข้าไปศึกษาทำดิวดิลิเจนซ์
"หลังจากโครงการแหล่งอาทิตย์ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ทำให้ปตท.สผ.กลายเป็นบริษัทที่มีประสบ
การณ์สำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมครบ วงจร นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าไปลงทุน ร่วมในโครงการสำรวจอีกหลายแปลงในต่างประเทศ"
สำหรับแผนการลงทุนใน 5ปี (2546-2550) ปตท.จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 59,494 ล้านบาท
โดยใส่เงินลงทุน ค่อนข้างสูงในปี 2547-48 จำนวน 14,248 ล้านบาท และ 15,237 ล้านบาท
ตามลำดับ ส่งผลให้ฟรี แคชโฟลว์ลดลงจาก 9,801 ล้านบาท เหลือเพียง 1,964 ล้าน บาทในปี
2547 และติดลบ 267 ล้านบาทในปีถัดไป โดยเป็นการลงทุนในแหล่งอาทิตย์เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกระแสเงิน สดในมือในปัจจุบันอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าจะรับมือสถานการณ์ดังกล่าว
ในอนาคตได้ รวมทั้งหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ฟรีแคชโฟลว ์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้น ในช่วงนี้ บริษัทฯจึงไม่มีความจำเป็นที่จะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมที่ยังเหลือจากการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้3,500
ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯมีเงินสดในมือเพียงพอที่จะชำระหนี้สิ้นปีนี้
60-70 ล้านเหรียญสหรัฐ