|
หุ้นไทยเมินธปท.หั่นดบ.
ผู้จัดการรายวัน(15 มกราคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทย เมินข่าวแบงก์ชาติหั่น ดอกเบี้ยอาร์พีถึง 0.75% ดัชนีตลาดหุ้นบวกแค่ 5.70 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.2 หมื่นล้านบาท ด้าน 'มนตรี ศรไพศาล' เสนอ 5 กลยุทธ์ที่นักลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในภาวะตลาดหุ้นผันผวน ขณะที่โบรกเกอร์คาดการณ์ ตลาดหุ้นยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังไม่มีปัจจัยเข้ามา สนับสนุน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (14 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ทั้งแดนบวก และแดนลบ โดยช่วงเช้าได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาล บวกกับที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.75% เหลือ 2%
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 431.20 จุด สูงสุดที่ 442.65 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 439.51 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 5.70 จุด หรือ 1.31% มูลค่าการซื้อขาย รวม 10,220.52 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 437.20 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 792.62 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,229.82 ล้านบาท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KSET กล่าวว่า จากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนอยู่ขณะนี้ นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนด้วย 5 ประเด็นหลัก คือ ประเด็นแรก พิจารณาผลการดำเนินงานของธุรกิจอดีตที่ผ่านมา สินทรัพย์และความสามารถการแข่งขันในธุรกิจ
ประเด็นที่ 2 ความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาจากอัตราหนี้สินต่อทุน จากปัจจุบันภาวะตลาดหุ้นที่ไม่ดี บริษัทจดทะเบียนควรมีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1.5 เท่า เทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 บริษัทจดทะเบียนมีอัตราหนี้สินต่อทุนสูงถึง 5 เท่า
ประเด็นที่ 3 ความสามารถและจริยธรรมของผู้บริหาร ที่จะต้องไม่ซ้ำรอยของกรณี บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) 4. ปริมาณหุ้นที่หมุนเวียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องดีและเป็นที่นิยมของนักลงทุน และ 5. จังหวะในการซื้อขายที่ต้องขึ้นอยู่กับโอกาสที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ลงทุนที่แตกต่างกันไป
นายมนตรีกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรม-การนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 วัน (อาร์/พี) อีก 0.75% เหลือ 2% นั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีต้นทุนทางการเงินลดลง รวมทั้งเป็นการเพิ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคด้วย
สำหรับภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์นั้น นายมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทบางแห่ง มีการปล่อยวงเงินสินเชื่อ (มาร์จิ้น) ในหุ้น ที่มีความเสี่ยงสูงมากถึง 20-30% หากการ บังคับขายหุ้นตัวแรกเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบ ต่อหุ้นตัวอื่นๆ ด้วย ทำให้ราคาหุ้นบางตัวมีระดับราคาสูงเกินกว่าความเป็นจริง เนื่องจาก อาจมีการนำมาร์จิ้นมาเพื่อพยุงราคาหุ้น
'บล.กิมเอ็ง จะไม่รับความเสียหายในช่วงที่มีการบังคับขายหุ้น เพราะหุ้นที่มีความ เสี่ยงสูง บริษัทจะมีการเรียกวงเงินประกันเพิ่มขึ้น หรืออาจต้องซื้อด้วยเงินสดเต็ม 100% ของราคาหุ้น'
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้ม ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (15 ม.ค.) น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุน ควรติดตามดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ และตลาดเอเชีย ตลอดจนราคาน้ำมันโลก ดังนั้น แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงานที่อาจได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน และกลุ่มธนาคารที่อาจมีการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นหลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ประเมินแนวรับ 433 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่ตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นบวกกับดัชนีได้ออกตัว ไปค่อนข้างมากแล้ว จึงกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศจากการที่ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% แต่ไม่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก เพราะนักลงทุนได้คาดการณ์ไว้แล้ว
'แนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนต้องติดตาม ทิศทางราคาน้ำมันโลก และตลาดหุ้นต่าง-ประเทศ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะให้เก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้รับแรงหนุนจาก การลดอัตราดอกเบี้ย โดยมีแนวรับที่ 430 จุดและแนวต้านที่ 450 จุด'
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|