|
มิสทินทุ่ม600ล.ปลุกขายตรงคึกกัดฟันกำไรลดเพิ่มผลตอบแทน
ผู้จัดการรายวัน(9 มกราคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
มิสทิน ชี้ธุรกิจขายตรงครึ่งปีแรกซบ อัดฉีด 600 ล้านบาท กัดฟันกำไรลดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน 1% จูงใจสาวขายตรงสมัครสิ้นปีได้ตามเป้า 8 แสนราย พร้อมเพิ่มความถี่โฆษณา หวังดันรายได้ปีวัวโต 10% กวาด 8,300 ล้านบาท หลังไตรมาสสี่ปีที่ผ่านมายอดขายลดลง 5%
นายดนัย ดีโรจน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงมิสทิน และแคทตาล็อกจำหน่ายสินค้า ฟายเดย์ เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ลดลง 5% ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทุกไตรมาสของปี 2551 อีกทั้งยังคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยืดเยื้อมาถึงช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยเฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่าจะซบเซามากที่สุด อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น โดยกำลังซื้อของผู้บริโภค ความมั่นใจในการใช้จ่ายจะฟื้น
แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรจะตกลง และมีการปลดคนงานจะทำให้ตลาดไม่คึกคักเท่าที่ควร แต่สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตไว้ 10% หรือคิดเป็นเงิน 8,300 ล้านบาท จากปี 2551 ที่ยอดขายเติบโตเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าไว้ 7% แต่เติบโตถึง 13% หรือคิดเป็นเงิน 7,600 ล้านบาท จากสินค้าในกลุ่มเอ และบี ที่เติบโตถึง 55% และยอดการสั่งซื้อเฉลี่ยเติบโตขึ้น 7% หรือ 1,400 บาทต่อใบเสร็จ เป็น 1,500 กว่าบาทต่อใบเสร็จ และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มไลน์ในสินค้ากลุ่ม เอ และ บี ที่มีราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไป 70 - 80%
สำหรับงบการตลาดปีนี้ 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยบริษัทโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง ถึง 20 เรื่อง จากปีที่ผ่านมา 18 เรื่อง ขณะเดียวกันเพิ่มงบรางวัลตอบแทนให้กับสาวมิสทิน เพื่อกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยจะเพิ่มจากปีก่อนๆ อีก 1% ซึ่งบริษัทยอมลงกำไรลง 1% ทำให้งบดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 4% จากปกติ 3% จากยอดขาย หรือคิดเป็นเงิน 80 ล้านบาทสำหรับงบที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากนี้บริษัทได้ลงทุนติดตั้งระบบไอทีอีก 100 ล้านบาท เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและช่วยในการทำงานทางด้านการตลาด และการขาย รวมถึงเป็นการลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าอีกด้วย
ทั้งนี้กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทเพิ่มสาวมิสทินจาก 7 แสนคนในปัจจุบัน เป็น 8 แสนคนภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่สินค้าใหม่มี 400 รายการ โดยจะนำเข้าสินค้าที่ร่วมพัฒนากับบริษัทในต่างประเทศที่เป็นสินค้าในกลุ่มเอ และ บี เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี มากขึ้น ทั้งนี้ได้วางงบการตลาดสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นแบรนด์ ฟาริส บาย นาริส 60 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวกลางปีนี้ คาดว่าสินค้าในกลุ่มเอ และ บี จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือคาดว่าจะมีสัดส่วน 30 - 40% ของสินค้ามิสทินทั้งหมด
สำหรับตลาดในต่างประเทศ มีอัตราการเติบโต 130% หรือคิดเป็นเงิน 400 ล้านบาท เติบโตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 5% จากรายได้ทั้งหมด โดยในปีนี้ก็จะเดินหน้าทำตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
นายดนัย กล่าวว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ตั้งเป้าผลประกอบการ 1 หมื่นล้านบาท และในอีก 5-6 ปีข้างหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้ส่งออกเครื่องสำอางไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ รัสเซีย เป็นต้น โดยสัดส่วนของการส่งออกยังอยู่ที่ 5% แต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกปี
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|