|
หุ้นค้าปลีกเร่งเพิ่มสาขา โตสวนกระแสเศรษฐกิจ
ผู้จัดการรายสัปดาห์(4 มกราคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
หุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL-BIGC-HMPRO ยังโตได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เร่งขยายสาขาก่อนพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งมีผลบังคับใช้ CPALL เด่นสุดแนวโน้มเติบโตขยายกว่า 400สาขา รวมถึงตัดการรับรู้ขาดทุนจากโลตัสจีน ส่วน BIGC ขยาย 12 แห่ง ขณะที่ลูกค้าบ้านเก่าและงานโฮมโปร เอ็กซ์โป ดันรายได้ HMPRO
จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกอย่าง บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC)และ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ดูเหมือนยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งเสมือนมีภูมิต้านทานที่สำคัญในการฝ่าช่วงเศรษฐกิจที่ยากลำบากเช่นนี้ไป
บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ประเมินว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่จะยังเติบโตได้แต่อัตราที่ลดลงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ConsumerConfidence Index : CCI) ในเดือนตุลาคมปรับตัวลดลงมาที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี ที่75.8 จากทั้งปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและวิกฤติการณ์การเงินโลก
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันยังมีแนวโน้มเติบโตได้โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้รับผลบวกจากการที่ผู้บริโภคหันมานิยมร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) มากขึ้น
สำหรับพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ปัจจุบันยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนจึงจะนำมาบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ดังนั้นในช่วงนี้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่จึงยังสามารถขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่อง เช่น BIGC คาดว่าจะเปิด 3-4 สาขาในปี 2552 เช่นเดียวกับ HMPRO ส่วน CPALL ยังคงเป้าหมายในการเปิดสาขาร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 400-450 สาขาต่อปี
ส่วนในอนาคตหาก พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมีผลบังคับใช้ ก็คาดว่าจะส่งผลให้การขยายสาขาทำได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการที่มีสาขาจำนวนมากและครอบคลุมพื้นที่ขายหลักๆ อยู่แล้วก็จะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังมีสาขาน้อยรวมไปถึงผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแข่งขัน
โดย CPALL นับเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีกจากการที่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อและเคาน์เตอร์เซอร์วิสของบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตดี ขณะที่บริษัทมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติบโตจะมาจากทั้งสาขาร้านเซเว่นฯ ในปัจจุบันที่มีประมาณ4,700 สาขาและการเปิดสาขาใหม่ ประกอบกับการเพิ่มสินค้าประเภทอาหารที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดขายก็จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรของบริษัท เนื่องจากสินค้าประเภทอาหารมีอัตรากำไรที่สูงกว่าสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร นอกจากนั้น CPALL ยังไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากโลตัสที่จีนอีกต่อไปหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการขายเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม
ด้าน BIGC มีเติบโตต่อเนื่อง จากการขายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นหนึ่งในดีสเคาน์สโตร์ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ มีการเปิดสาขาจำนวนมากถึง 12 สาขาในปีนี้รวมทั้งการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อส่งเสริมยอดขาย คาดว่าจะทำให้ BIGC สามารถสร้างยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีรายได้เพิ่มเติมจากเงินสนับสนุนการขายจากซัพพลายเออร์และรายได้ค่าเช่าที่สม่ำเสมอจากการให้เช่าพื้นที่
สำหรับ HMPRO ที่เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจสินค้าเกี่ยวกับบ้านและที่อยู่อาศัย ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนี้ ยอดขายจะถูกผลักดันจากการเติบโตของลูกค้าที่ต้องการปรับปรุงบ้านมากกว่าลูกค้าที่ซื้อบ้านใหม่ ขณะที่การจัดงาน Home Pro Expo ยังช่วยเพิ่มยอดขายได้ต่อเนื่องการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัท นอกจากนั้น HMPROยังได้รับอานิสงส์บางส่วนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ มาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นอีกด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|