คุณคิดว่า….ผมควรไปพบจิตแพทย์ไหม


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกจากปากนักธุรกิจในบ้านเรา และโดยส่วนมากก็ไม่ใคร่มีใครคิดถึงจิตแพทย์กันนักในสังคมตะวันตกนั้น แทบจะกล่าวได้ว่าจิตแพทย์มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับนักธุรกิจ ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จะมีจิตแพทย์ประจำตัว แต่ถ้าหากเป็นสังคมไทยแล้ว นักธุรกิจผู้นั้นจะถูกมองว่ามีปัญหาทางจิตประสาท เผลอ ๆ ถูกมองว่าเป็น "บ้า" ไปเลยก็มี

อันที่จริงมูลเหตุที่ทำให้คิดถึงจิตแพทยืได้นั้นมาจากเรื่องใกล้ตัวเพียงนิดเดียวคือความเครียด ซึ่งไม่ใช่ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแล้วหายไป แต่ความเครียดในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตใจที่ได้รับแรงกดดันจนมีอาการปรากฎทางกาย ซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติและไม่สามารถควบคุมได้

หมออรุณ เชาวนาศัย จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกัน บอร์ดแห่งกองจิตเวชประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอธิบายถึงอาการเครียดประเภทนี้อันส่งผลให้เกิดโรคของนักบริหารที่เป็นกันในหมู่นักธุรกิจใหญ่ ๆ 3 โรคด้วยกันคือ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร ซึ่ง 2 โรคนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันสักเท่าใดว่ามีมูลเหตุมาจากความเครียดได้ และโรคที่ 3 คือบุคลิกภาพผิดปกติที่ส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดปัญหากับผู้ร่วมงาน

ในทางจิตเวชนั้นพวกที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมักเป็นผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติทั้งวันทั้งคืนเกินกว่า 80 ครั้ง / นาทีซึ่งเป็นอัตราในคนปกติ พบมากในผู้ที่มีรูปร่างอ้วนล่ำ ชอบสังคมพบปะผู้คน พูดเสียงดังโวยวาย

แต่ถ้าผู้ที่มีความเครียดเป็นปะจำเกิดเป็นประเภทคนผอม เจ้าความคิด หมกมุ่น พวกนี้จะเป็นโรคกระเพาะอาหารมากกว่า ซึ่งจัดเป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของนักบริหาร

ทั้งโรคความดันโลหิตสูงและ โรคกระเพาะอาหารนี้เกิดจากประสาทอัตโนมัติที่ไม่สามารถบังคับได้ พวกนักบริหารที่มีงานเครียดหรืองานเร่งรัดมาก น้ำย่อยจะหลั่งออกมาเป็นธรรมดา ถ้าเจรจาการค้ามูลค่าเป็นแสนหรือล้าน ยังพอทำเนา แต่ถ้าเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน กระทั่งพันล้านขึ้นมาแล้วย่อมเกิดความเครียดได้โดยง่าย

โดยทั่วไปผู้ที่เกิดอาการทางกายเหล่านี้มักจะรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะทางกระเพาะอาหารหรือความดันโลหิตสูงโดยตรง ซึ่งหากมูลเหตุหลักของอาการเกิดมาจากความเครียดแลว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น ๆ ก็จะต้องปรึกษาหารือแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์

มีนักบริหารน้อยรายมากที่เดินเข้ามาหาจิตแพทย์โดยตรง พวกนี้จะเป็นพวกที่ค่อนข้างรู้พอสมควรว่าจิตแพทย์จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง "ในแต่ละสัปดาห์จะมีคนไข้ประจำที่ดูอยู่เกือบทุกอาทิตย์ซึ่งใหญ่จริง ๆ รวยจริง ๆ ประมาณ 10 คน และหมอคนอื่นก็ยังมีอีกแยะ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งจะมีจิตแพทย์ประจำ" หมออรุณเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

นับว่าเป็นตัวเลขที่มากพอสมควรถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่จิตแพทย์ถูกมองว่าเป็นเรื่องของหมอรักษาคน "บ้า" เท่านั้น หมออรุณและพรรคพวกกลุ่มหนึ่งได้พยายามต่อสู้กับความคิดนี้ ด้วยการตั้ง "คลิกนิกจิต-ประสาท" ขึ้นมาโดยตรงที่เชิงสะพานลอยวิภาวดีเมื่อปี 2528 ซึ่งในช่วง 2 ปีแรกต้องทนดูการขาดทุนเดือนละ 2-3 หมื่นบาททุกเดือน

อย่างไรก็ดี เรื่องความไม่รู้เกี่ยวกับการรักษาของจิตแพทย์นั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้คนไม่คุ้นเคยกับการไปพบจิตแพทย์ยังมีปัจจัยสำคัญในเชิงสังคมวัฒนธรรมอีกหลายอย่างที่ทำให้คนมองข้ามจิตแพทยืไป

ในเรื่องของวัฒนธรรมความเชื่อถือ สำหรับคนไทยนั้น อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของนามธรรมหรือปรัชญาแล้วคนไทยยังไม่ค่อยยอมรับ เช่น หากไม่สาบายปวดท้องปวดหัว คนมักจะชอบเอกซเรย์มากกว่าที่จะมานั่งคุยกับจิตแพทย์

ประการต่อมาการมานั่งคุยกับจิตแพทย์นั้น จะต้องมีการเปิดเผยประวัติภูมิหลังของชีวิตในทุกช่วงตอนอย่างละเอียดหรือมากพอที่จะให้จิตแพทย์วิเคราะห์หาสมุฎฐานของโรคได้ ตัวอย่างเช่น สมมุติวาลูกเกเร ติดยาเสพติด ไม่ไปโรงเรียน เมื่อพ่อแม่มานั่งต่อหน้าจิตแพทย์จะต้องเล่าประวัติภูมิหลังให้ฟัง เพาะว่าจริง ๆ นั้นลูกไม่เคยป่วย ใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็กออกมาบบริสุทธิ์มาก สภาพแวดลอมและการเลี้ยงดูต่างหากที่มีส่วนทำให้พฤติกรรมเด็กเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการที่พ่อแม่ซึ่งมีตำแหน่งสูงส่งในทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทประกันภัย หรือประธานกรรมการบริหาร หรือกระทั่งรัฐมนตรีก็จะต้องมาเปิดเผยเรื่องราวของตนเองให้จิตแพทย์ฟังวัฒนธรรมเช่นนี้ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยยอมรับกันสักเท่าใดนัก

ถ้าเทียบกับการไปหาพระ หมอดูหรือพวกทรงเจ้าเข้าผีแล้ว ยังมีคนกลุ่มหนึ่งให้ความเชื่อถือในศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งมีรากฐานทางสังคมวัฒนธรรมไทยมากกว่าวิชาจิตเวชที่เป็นศาสตร์ซึ่งมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบระเบียบในยุโรปและสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หมออรุณให้ความเห็นว่าสภาพปัจจุบันดีขึ้นกว่าเมื่อ 5-10 ปีก่อนาก เพราะเริ่มมีการยอมรับจิตแพทย์มากขึ้น ถ้าเผื่อคนไข้ไปหาหมอโรคกระเพาะ แล้วหมอบอกให้มาหาจิตแพทย์ คนไข้ก็จะมาโดยดีไม่มีปัญหา

นอกจากการมีจิตแพทย์ประจำตัวที่สามารถพูดคุยด้วยได้เดือนละครั้ง - สองครั้งแล้ว ปัจจุบันยังมีการจัดโปรแกรมประเภท "พัฒนาบุคลิกภาพตนเอง" "ฝึกผ่อนคลายความเครียด" และโปรแกรมอื่น ๆ ที่มีชื่อเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษเช่น "SELF-HELP" "WHO AM I" รวมทั้ง "SUPPORTED GROUP", "ALCOHOLIC GROUP" รับผิดชอบโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาโดยจัดให้กับบริษัทใหญ่ ๆ ธนาคาร ห้างร้านต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

โปรแกรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับให้ผ่อนคลายความเครียดและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ โปรแกรมเหล่านี้อาจทำให้ไม่เกิดคำถามประเภท "ไปพบจิตแพทย์ดีไหม" "เขาจะช่วยอะไรผมได้บ้าง"

ขณะที่สังคมธุรกิจไทยเริ่มกลายเป็นสังคมที่มีความสลับซับซ้อนอย่างมากตามขีดขั้นการพัฒนา ปริมารและประเภทของธุรกิจอุตสาหกรรมที่แตกแขนงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น บทบาทของจิตแพทย์ก็เริ่มเป็นที่สนใจ และได้รับการยอมรับมากขึ้นตามลำดับในฐานะผู้ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาอาการทางจิตและประสาท

ภายใต้ความตึงเครียดของสังคมธุรกิจปัจจุบัน คำถามประเภทที่ว่าควรไปพบจิตแพทย์ดีไหม จะลดน้อยลง แต่จะมีคำถาม "คุณมีจิตแพทย์ประจำตัวหรือยัง" ขึ้นมาแทน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.