ตำนานที่หวนคืนมาอีกครั้ง

โดย ธนิต วิจิตรพันธุ์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มกราคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

คำพร่ำสอนของบุพการีตั้งแต่เด็ก ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจอย่างไม่มีเสื่อมคลาย เกิดมาเป็นมนุษย์ พี่น้องที่คลานตามกันมาต้องรักกัน สามัคคี รู้อภัย มีใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า รู้จักการให้ต่อเพื่อนมนุษย์

คำสอนเหล่านี้เป็นคุณสมบัติติดตัวลูกหลานมาจนทุกวันนี้ พี่น้องแทบทุกคนจะมีบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน มีการไปมาหาสู่ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างสม่ำเสมอ บ้านไหนทำอาหารรสมือคุณแม่ บ้านข้างๆ ก็จะได้รับอานิสงส์โดยถ้วนหน้า

ทุกเดือนจะมีวันครอบครัว ระหว่างพี่น้องลูกหลานมีการรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งที่บ้านและตามร้านอาหาร พบปะสังสรรค์ในโอกาสพิเศษ วันเกิด วันที่สมาชิกครอบครัวประสบความสำเร็จ

แม้ว่าเสาหลักของครอบครัวต้องมีการผุกร่อนไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิต สายใยรักสายสัมพันธ์ที่บิดามารดาได้เป็นตัวอย่างที่ดีมาตลอดชีวิต และเป็นเบ้าหลอมให้อยู่ในกรอบกติกาของสังคม มีความรักใคร่กลมเกลียว เอื้ออาทร ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม

อย่างเช่นในวันนี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่เครือญาติได้มาพบปะกันโดยทั่วหน้า เนื่องจากหลานสาวซึ่งไปศึกษาต่อปริญญาเอก สาขาการเงินการธนาคาร กลับจากอังกฤษมาเยี่ยมบ้านช่วงปีใหม่

บ้านของผมอยู่ชานเมืองใกล้สี่แยกหลักสี่ ในซอยวิภาวดีรังสิต 64 นับว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะทีเดียว มีทางเข้า-ออกได้ถึงสามถนนหลักคือ ถนนวิภาวดีรังสิต ทะลุไปใช้ถนนแจ้งวัฒนะได้ คือ แจ้งวัฒนะ 1 ซึ่งเป็นซอยบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยมีตำนานอันลือลั่นในเรื่องของสูตรอาหาร "แกงเขียวหวานบรั่นดี" ฯพณฯ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (ซึ่งล่วงลับไปแล้ว)

หรือถ้าใครเป็นกูรูในเรื่องของทางลัด ลัดเลาะซอกแซกไปออกถนนพหลโยธิน (บางบัว) โดยต้องวิ่งผ่านด้านข้างสนามกีฬาตำรวจ (บุณยะจินดา) ผ่านถนนหน้าบ้านของพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (คนแรก) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งก็หมายถึงถ้าผู้ใดมีบ้านพักอาศัยระหว่างซอยวิภาวดีรังสิต 58-64 พหลโยธิน 49/1 แจ้งวัฒนะ 1 หรือใช้สำหรับผู้ที่สัญจรไปมาในแถบนี้ก็จะสามารถใช้เป็นเส้นทางลัด เลี่ยงการจราจรที่ติดขัด หรือหลบการจราจรที่เกิดจลาจลขึ้นมาในบางครั้งเช่นกัน

ฉะนั้น วิภาวดีรังสิต 64 จึงเป็นซอยที่มีที่อยู่อาศัยและผู้คนอยู่กันอย่างหนาแน่น มีแยกเล็กแยกน้อยมากมาย เป็นที่ตั้งสถานที่ราชการ โรงแรมระดับหรูหลายดาว โรงเรียนเอกชนชี่อดัง บริษัทห้างร้าน สมัยที่สนามบินดอนเมืองยังรุ่งเรือง (ยังไม่เกิดสุวรรณภูมิ) จะมีบริษัทสายการบินใหญ่ๆ บริษัทรับส่งสินค้าพัสดุภัณฑ์ทางอากาศ หรือพนักงานสายการบิน การท่าอากาศยาน รวมไปถึงผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน เกิดมีความอยากอาหารก็จะมาแวะที่ซอย 64 นี้เป็นประจำ ทำให้ร้านอาหารมีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่แบกะดิน (รถเข็น) จนถึงเลิศหรูอลังการ ทั้งร้านอาหารไทย จีน เวียดนาม อาหารเหนือ อาหารใต้ มีทั้งรสชาติเมืองคอน หรือใต้สุด สงขลา หาดใหญ่ ส่วนอาหารอีสาน จะมีลาบ น้ำตก ส้มตำรสชาติอุดร ร้อยเอ็ด ยโสธร หรือแม้แต่หนองคายก็มีให้ชิม

แม้กระทั่งถ้าอยากพูดคุยเจรจาธุรกิจ ก็มีร้านกาแฟอย่าง snowbery ให้นั่งจิบ หรือทานไอศกรีม เค้ก หรือของว่าง ลาซาญญ่าชีสหรือผักโขม เลเยอร์หมู มีไว้บริการ ซึ่งการตกแต่งร้านนี้เป็นที่โดนใจทั้งวัยรุ่น วัยดึก หรือพวกที่หายใจทิ้งไปวันๆ ดูแล้วเป็นสภากาแฟที่มีระดับ

สำหรับในยามค่ำคืนมีหลากหลายสไตล์ อาหารประกอบดนตรีเพลงเพื่อชีวิต หรือยุคซิกตี้ มีให้เลือกสรรตามรสนิยมของท่านเอง (สวย หล่อเลือกได้)

คุยกันมาเสียยืดยาว อยากจะบอกว่า วันครอบครัวของผมวันนี้มีการร่วมรับประทานอาหารระหว่างญาตินั้น เลือกที่จะทานร้านอาหารจีน "ไล้กี่" ซึ่งตั้งอยู่ปากซอยบ้าน เพื่อเป็นการช่วยชะลอสภาวะโลกร้อน และเป็นการประหยัดพลังงาน (น้ำมัน) และข้อสำคัญ เป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าในยามที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วทุกมุมโลก ด้วยการเดินเท้าออกจากบ้านคุยกันไปหยอกล้อกันไป ก่อนไปอร่อยร่วมกัน โดยไม่ต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดไปถึงเยาวราช

จีนมีกำเนิดเป็นชาติพันธุ์มาหลายพันปีแล้ว มีวัฒนธรรมสั่งสมมาหลากหลายให้ชาวโลกได้ชื่นชมมากมาย โดยเฉพาะการกินการอยู่ คนจีนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก เมื่อถึงเวลาอาหารขึ้นโต๊ะจะต้องมีหมู เป็ด ไก่ ปลา ถ้าครอบครัวใดมีน้อยหน่อยก็จะเพิ่มผักให้มากหน่อย

กรรมวิธีการทำพิถีพิถัน เครื่องปรุงก็มากมายด้วยเครื่องยาจีนสมุนไพร ซึ่งหายากและมีราคา แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างเช่น สมุนไพรที่นำมาประกอบอาหารในการผัดหรือการตุ๋นของชาวจีน อย่างเช่น

เก๋ากี้ ได้ฉายาว่าเป็นสมุนไพรแห่งความมีอายุยืนยาว รักษาโรคมาหลายศตวรรษ ส่วนเก๋ากี้แห้ง มีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงชั้นยอด มีสารเบต้าเคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีต่างๆ วิตามินซี กรดอะมีโน 18 ชนิด สังกะสี เหล็ก ทองแดง เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง บำรุงไต บำรุงปอด สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง บำรุงสายตา

หรือแป๊ะก๊วย จะช่วยบำรุงไต ใบแป๊ะก๊วย จะแก้อาการสมองเสื่อม

สำหรับตั่งเซียม มีคุณสมบัติช่วยปรับการทำงานของกระเพาะอาหาร บำรุงเลือดลม ความดันโลหิต ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว

ส่วนสมุนไพรที่ช่วยการย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง ลดเหงื่อ บำรุงไตใช้ได้ผลมากจากอาการเกิดจากโรคเบาหวาน แก้โรคเบื่ออาหาร ก็ต้องฮ่วยซัว

สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ต้องใช้ตังกุย ในการแก้อาการ

ปักคี้ ใช้กับเรื่องของการบำรุงหัวใจ เลือดลม ขับปัสสวะ เสริมภูมิต้านทานโรค

โสม เราจะได้ยินสรรพคุณมาจนชินหูว่า ทำให้เกิดพละกำลัง ให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย

เห็ดหอม เมื่อเวลาเราไปจ่ายตลาดจะเห็นวางขายจนชินตา ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการต้านมะเร็ง ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันความดันโลหิตสูง

เม็ดบัว ที่เราเห็นในขนมไหว้พระจันทร์ หรือขนมหวาน หรือส่วนผสมในอาหารคาวบางชนิด จะช่วยบำรุงประสาท บำรุงไต และสมองได้

หรือแม้แต่ภาชนะที่ใช้ในการประกอบอาหารของชาวจีนนั้น กระทะ ต้องใช้เหล็กหนา หรือไฟที่จะใช้ก็ต้องแรง

อาหารจีนได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะแถบเอเชีย เพราะชาวจีนอพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทั้งยุโรปและอเมริกา เมืองในประเทศต่างๆ ก็จะมีย่านไชน่าทาวน์ ว่ากันว่าไชน่าทาวน์เมืองไทย (เยาวราช) น่าจะเก่าแก่และเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก

เมื่อเอ่ยถึงภัตตาคาร "ไล้กี่" ทุกคนที่นิยมชมชอบในรสชาติอาหารจีน จะต้องร้อง "อ๋อ" ขึ้นมาทันที แม้แต่นวนิยายอันลือลั่น นิยายยอดฮิตติดตลาดอย่าง "พล นิกร กิมหงวน" ยังมีการกล่าวถึงและนัดหมายไปรับประทานอาหารที่ร้านนี้

ไล้กี่ เปิดบริการเมื่อ 75 ปีที่แล้ว เป็นภัตตาคารจีนรุ่นแรกๆ ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เยื้องโรงภาพยนตร์แคปปิตอล โดยมีคุณปู่ทรัพย์ เก่าเจริญ เดิมเป็นพนักงานอยู่ที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา และคุณย่าสุพรรณี เก่าเจริญ ขายราดหน้า โดยการเซ้งกิจการมาจากชาวฮ่องกงซึ่งขายดีมาก จนคุณปู่ (ทรัพย์) ต้องลาออกมาช่วยคุณย่า (สุพรรณี) และมีความเจริญรุ่งเรืองขยายกิจการขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นไล้กี่ภัตตาคารในที่สุด

ต่อมาวีระเทพ เก่าเจริญ และน้องๆ มารับช่วงดำเนินกิจการต่อในรุ่นลูก

ไล้กี่เคยได้รับการจัดอันดับจากรายการโทรทัศน์ top ten ในเรื่องของความเป็นภัตตาคารเก่าแก่ของประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 มาแล้ว คุณปู่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน คุณย่าเป็นจีนแคะ แต่อาหารของที่ร้านจะเป็นจีนกวางตุ้งจะมีทั้งแผนกขนมจีบซาลาเปา (สมัยนี้ที่เรียกกันว่า ติ่มซำ ในภาษากวางตุ้ง หรือ "แต่เตี้ยม" ใช้เรียกของจีนแต้จิ๋ว)

สำหรับแผนกเบเกอรี่มีขนมปังแถว ขนมปังหวาน และขนมปังไส้ต่างๆ ซึ่งขายกันเพียงชิ้นละ 1 บาท ขนมหน้าแตกชิ้นละ 50 สตางค์เท่านั้น

สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ ไล้กี่ไม่เป็นที่สองรองใคร เป็นหนึ่งในสามภัตตาคารที่มีชื่อเสียงในการทำขนมชนิดนี้ (อีก 2 แห่งคือ ห้อยเทียนเหลา และก๊กจี่) โดยมีไส้ลูกบัว โหงวยิ้ง (เมล็ดผลไม้ต่างๆ) ไส้ทุเรียนจะได้รับความนิยมมากที่สุด รสชาติหอมหวานมันอร่อย โดยใช้ทุเรียนกวนที่สั่งตรงจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรเท่านั้น

การจัดงานมงคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด งานแต่งงาน มักนิยมไปจัดตามภัตตาคารที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีอยู่ไม่มากนักสำหรับในสมัยนั้น

เล่ากันว่า วันไหนฤกษ์ดี คู่บ่าวสาวจะมาจัดงานเต็มทุกชั้น ถ้างานใหญ่หน่อยแขกมากหน่อยก็จองสองชั้น หรือแขกมากก็จะขอเหมาทั้งสามชั้น ในงานก็จะบรรเลงด้วยดนตรีจีนอย่างไพเราะเสนาะหู สนุกสนานในบรรยากาศเลิศหรู

ปัจจุบัน ไล้กี่ภัตตาคารได้เปิดตัวอีกครั้ง หลังจากหยุดดำเนินกิจการไปกว่า 10 ปี โดยรุ่นที่ 3 สุรวี เก่าเจริญ (ต้อย) ณ เลขที่ 201/46 วิภาวดีรังสิต 64 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2550

เมื่อก่อนต้อยเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เพราะความชอบการออกแบบ การตกแต่ง งานเย็บปักถักร้อย ชอบออกแบบเสื้อผ้าให้เพื่อนฝูงในสำนักงานอยู่เป็นประจำ จนในที่สุดลาออกมาเปิดห้องเสื้อ "ชาลอต" ในซอยทองหล่อ ซึ่งกิจการไปได้ดีมาก มีงานเข้าตลอดเวลา แม้แต่สไตลิสต์ก็นำชุดที่เธอออกแบบไปถ่ายทำลงนิตยสารชื่อดังหลายฉบับ แต่มาเมื่อกลางปี 2550 สังเกตว่าเศรษฐกิจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ดูจาก order บางเดือนก็โถมเข้ามาจนทำไม่ทัน บางครั้งคำสั่งลูกค้าก็หายไปเป็นเดือนเช่นกัน เธอจึงมองหาอาชีพหลักที่มีความมั่นคงกว่านี้

เธอฉุกคิดได้ว่า ครอบครัวของเธอก็มีแบรนด์ของร้านอาหารจีนอันลือชื่อมายาวนาน คิดว่าอย่างไรในเรื่องอาหารทุกคนจำเป็นต้องกิน เธอจึงปรึกษาคุณแม่จารุวรรณ ซึ่งได้รับความเห็นชอบ และช่วยเป็น ธุระติดตามกุ๊ก ซึ่งได้แยกย้ายไปอยู่ตามโรงแรมดัง หรือภัตตาคารจีนชั้นนำกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง อย่างกุ๊กใหญ่ของร้านในปัจจุบัน เริ่มงานกับไล้กี่ตั้งแต่อายุ 13 ปี ปัจจุบันมีอายุมากกว่า 40 ปีแล้ว

เธอตกแต่งร้านอยู่หลายเดือนจนเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณร้าน จะพบกับความร่มรื่นด้วยแมกไม้ใหญ่น้อย อีกฟากฝั่งจะเห็นบ่อน้ำพุเป็นแนวยาวขนานทำให้ดูเยือกเย็น เมื่อเดินเข้าสู่ร้านจะพบการตกแต่งภายใน ซึ่งได้กลิ่นอายของความเป็นภัตตาคารจีน แต่เป็นแนวโมเดิร์น

เมื่อร้านเปิดขายได้เพียงอาทิตย์เดียว ลูกค้าเก่าๆ ก็เริ่มหลั่งไหลกลับมาใช้บริการเหมือนเดิม อย่างเช่น มีลูกค้ารายหนึ่งอายุ 90 ปี ขอร้องให้ลูกหลานพามาเพื่อจะระลึกถึงความหลังที่ไล้กี่ และบอกกับที่ร้านว่า "ฉันจัดงานแต่งงานที่ไล้กี่" พร้อมทั้งออกปากชมว่ารสชาติอาหารยังคงเหมือนเดิม ไม่ผิดหวังจริงๆ

สำหรับอาหารที่ร้านนี้มีไว้ให้เลือก อาทิ ขนมจีบซาลาเปา ซุปเยื่อไผ่ กระเพาะปลาน้ำแดง กระเพาะปลาผัดแห้ง ขาหมูหมั่นโถ หูฉลาม ยำแมงกะพรุน ผัดต่างๆ มีไว้ให้บริการตั้งแต่กลางวันยันกลางคืน

แต่สำหรับผมขอเลือกและสั่งด้วยอาหารที่ขึ้นชื่อ

แฮ่กึ๊น ซึ่งทำมาจากกุ้งกุลาดำ ใช้เนื้อกุ้งล้วนๆ ห่อด้วยฟองเต้าหู้ โดยมีส่วนผสมแป้งข้าวโพด เกลือ น้ำตาล พริกไทย และไข่ขาว เมื่อนำไปทอดแล้วจะได้ สีเหลืองทองสวยงามน่ารับประทาน

จานต่อมา เป็ดปักกิ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาการทำ 1 วันเต็มๆ คือต้องทำค้างคืนเพื่อนำไปแช่เย็นก่อน โดยจะใช้เป็ดตัวใหญ่มาก เป็ดที่นี่หนังจะกรอบแผ่นแป้งจะนุ่ม น้ำจิ้มรสเด็ด เมื่อเสิร์ฟแล้วต้องทานทันทีจะอร่อยมาก ส่วนเนื้อเป็ดจะนำไปทำเมี่ยงหรือผัดพริกไทยดำ ราดหน้า น้ำแกง หรือตามแต่ลูกค้าจะสั่ง

สำหรับหมูหัน ที่นี่จะมีหมูหันฮ่องกงด้วย ซึ่งต้องทานทั้งเนื้อและหนังพร้อมกัน เพราะจะเลาะกระดูกออกหมด ส่วนหมูหันธรรมดาจะทานหนังก่อนและเอาเนื้อหมูไปทอดกระเทียม

ส่วนปูผัดผงกะหรี่ที่ร้านนี้จะใช้ปูเนื้อ ปูใหญ่ๆ หนักประมาณ 7 ขีดถึง 1 กก. ปูทะเลจะมี 2 ชนิดคือ ปูขาวกับปูแดง ปูแดงเป็นปูทางใต้ แต่ปูขาวจะเป็นปูเนื้อไม่เหม็นสาบ ส่วนผสมของอาหารจานนี้ประกอบด้วยปูเนื้อ ไข่ไก่ พริกเผา นมสด ผงกะหรี่ พริกหวาน ต้นหอม ขึ้นฉ่าย น้ำมันหอย น้ำตาล ซีอิ๊วขาว

ถ้าชอบประเภทอาหารปลา จะมีปลานึ่งซีอิ๊ว โดยจะเลือกปลาบู่ ปลากะพง หรือปลาหิมะก็ได้ เมื่อทานเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นหอมอร่อยกลมกล่อมของน้ำซีอิ๊ว

ขาห่านอบ เป็นอีกเมนูหนึ่งที่น่าลิ้มลอง จะใช้ขาห่านใหญ่มาก ทานกับบะหมี่จะอร่อยมาก

อาหารอีกจานที่ไม่ควรพลาดเพราะเป็นอาหารจีนฮกเกี้ยนจานเดียวในร้านคือ บะหมี่ฮกเกี้ยน

อาหารบนโต๊ะของชาวจีน ที่จะขาดไม่ได้ก็คืออาหารประเภทซุป แต่วันนี้ผมขอสั่งไก่ดำตุ๋นยาจีน ซึ่งจะประกอบไปด้วยสมุนไพรยาจีน ซึ่งสารพัดประโยชน์ช่วยในการสร้างภูมิต้านทานโรคมากมาย เปรียบเสมือนยาอายุวัฒนะ โดยจะใช้ไก่ดำ เก๋ากี้ ฮ่วยซัว มักดี โชกุ่ย ตังเซียม และโสม ซึ่งใช้เวลาตุ๋นประมาณ 30 นาที

ส่วนของหวานของไล้กี่ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแปะก๊วยร้อนและเย็น แปะก๊วยนมสด แมงลักเมล่อน พุทราทอด เงาะ-ลิ้นจี่ลอยแก้ว แต่ของหวานของที่นี่ที่ผมชอบและอยากจะขอแนะนำ ก็คือแปะก๊วยมะพร้าวอ่อน กับน้ำรากบัว ซึ่งทางร้านได้สั่งรากบัวมาจากเมืองจีน

เมื่อสิ้นสุดเมนูคาวหวานเรียบร้อยแล้ว ผมและญาติขอนั่งพูดคุยกันอีกสักนิด เพื่อให้อาหารย่อยอีกสักหน่อย

ก่อนกลับ ต้อยกระซิบว่าขนมไหว้พระจันทร์จะมีจำหน่ายเฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ส่วนถ้าจะมารับประทานอาหารที่ไล้กี่ โดยเฉพาะหมูหัน เป็ดปักกิ่งให้อร่อยก็อย่าลืมจองโต๊ะล่วงหน้าที่โทร. 02-9733188 รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.