หากใครมาชวนคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของกิจการอุตสหากรรมขนาดเล็กและขนาดกลางออกไปลงทุนตั้งโรงงานที่เมืองนอก
คงเป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อย เพราะมันค่อนข้างสวนทางกับความรู้สึกของคนไทยที่อยากให้ชาวต่างประเทศมาลงทุนในเมืองไทนเอามาก
ๆ แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
นโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐนอร์ทเทิน แทรี่โทรี่ของออสเตรเลียเป็นรูปเป็นร่างเมื่อราว
3 ปีที่แล้ว ผู้บริหารของรัฐกำหนดให้เมืองดาร์วินเป็นเขตพัฒนาการค้า (TRADE
DEVELOPMENT ZONE) หรือทีดีแซดเพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว
นโยบายส่งเสริมการลงทุนในเขตเมืองดาร์วินนี้คล้างคลึงกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย
นโยบายนี้มีสาเหตุมาจากความต้องการพัฒนารัฐนอร์ทเทิน แทรี่โทรี่ให้ทัดเทียมกับรัฐในเขตทางใต้ของออสเตรเลียซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์
มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น แต่รัฐนอร์ทเทิน แทรี่โทรี่เป็นรัฐทางเหนือในเขตมรสุมเมืองร้อนมีประชากรเบาบาง
เช่น เมืองดาร์วินซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐมีพลเมืองเพียง 70,000 คน การพัฒนาของรัฐนี้จึงเป็นไปได้ช้ากว่ารัฐทางใต้
และเนื่องจากเขตที่ตั้งใกล้ชิดกับประเทศในเอเชียมากกว่า ผู้บริหารของรัฐนอร์ทเทิน
แทรี่โทรี่จึงมุ่งหวังพลเมืองในเอเชียที่มีศักยภาพเพียงพอเข้าไปตั้งถิ่นฐานเพื่อการพัฒนา
ออสเตรีเลียมีครบเกือบทุกอย่าง แต่เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเป็นของตนเองนั้นยังสู้กับประเทศยุโรปหรืออเมริกาไม่ได้เทคโนโลยีของเขาก็พอ
ๆ กับเมืองไทยนั่นแหละ
นอกเหนือไปจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่คล้ายคลึงกับของไทยแล้ว เขตพัฒนาการค้าในเมืองดาร์วินยังมีสิทธิพิเศษหลายประการที่ฟังดูแล้ว
เหมือนกับว่าทางออสเตรเลียแทยขะ "อุ้ม" คนไทยและเอเชียเข้าไปลงทุนที่นั่นเองทีเดียว
เช่น ช่วยเหลือในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและกำหนดแผนงานปฏิบัติ มีที่ดินและโรงงานแบบเบ็ดเสร็จให้เช่าหรือขายหรือถ้าเช่า
5 ปีแรกแล้วจะซื้อทางดาร์วินก็จะคืนค่าเช่าในช่วง 5 ปีแรกให้
ขนาดของโรงงานก็มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ แต่ขนาด 300 ตารางเมตร ในราคาค่าเช่า
1 ตารางเมตรต่อ 600 บาท หรือถ้าเอาแค่ที่ดินและสร้างโรงงานเอง ทางดาร์วินจะช่วยค่าก่อสร้าง
10% หรือแม้แต่พื้นที่ขนาด 4x8 เมตรเพื่อทำกิจกาเจียระไนพลอยก็ยังมี
อีกทั้งยังไม่เก็บภาษีวัตถุดิบไม่มีภาษีซ้ำซ้อน เช่น ภาษีการค้า ภาษีอากรแสตมป์
มีแต่ภาษีจากกำไรสุทธิ ซึ่งสามารถนำต้นทุนจากบริษัทแม่ไปหักได้ด้วย นอกจากนั้นยังหาแหล่งเงินกู้ให้และยังช่วยค่าดอกเบี้ยให้
3% ในช่วง 2 ปีแรก และสามารถนำเงินกลับประเทศแม่ได้ 100%
"เราต้องการนักลงทุนระดับเล็กมาก ๆ เพื่อการขยายไปสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่"
เรย์แมคเฮนรี่ ประธานเขตพัฒนาการค้ากล่าว
เรย์ต้องเดินทางเทียวไปเทียวมาระหว่างออสเตรเลียกับประเทศในเอเชีย เพื่อเชิญชวนให้นักลงทุนจากเอเชียสนใจเมืองดาร์วิน
แต่โดยลำพังคนออสเตรเลียจากเมืองดาร์วินเองจะมาลุยหานักลงทุนโดยตนเองั้นย่อมเป็นปัญหาในการแสวงหากลุ่มเป้าหมายพอสมควร
ดังนั้นทีดีแซดจึงต้องอาศัยบริษัทที่ปรึกษาอย่างเค.เค.ย้ง เพื่อช่วยในการประสานงานนักลงทุนในเอเชีย
เค.เค.ย้ง เป็นนักธุรกิจฮ่องกงและเป็นเจ้าของ K K YEUNG MANAGEMENT CONSULTANTS
LTD. ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารที่ให่ญที่สุดในฮ่องกง
การให้คำปรึกษาของเขาครอบคลุมกว้างขวางตั้งแต่การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
การแสวงหาแหล่งเงินทุน การวางแผนขยายกิจการวางแผนร่วมทุนหรือควบกิจการบริษัทอื่น
และการขยายธุรกิจในระดับนานาชาติ
เขาก่อตั้งบริษัทในปี 2526 แต่สามารถขยายสาขาออกไปได้อย่างรวดเร็วมาก นอกจากจะมีสำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกงแล้วบริษัทของเขายังมีสาขาในสิงคโปร์
มาเลเซีย ไต้หวัน ปักกิ่ง และกำลังจะมาตั้งสาขาในไทย
สาเหตุที่เขาสามารถ ขยายตัวได้รวดเร็วมากในช่วง 6 ปีนั้น นอกจากความเอื้ออำนวยของฮ่องกง
ในสถานะศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งหนึ่งของโลกแล้ว ยังเป็นเพาะสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ
ประการแรกเป็นเพราะ การที่จีนแผ่นดินใหญ่เปิดประกาศ นักลงทุนจากอเมริกา ยุโรปและเอเชียต่างแห่กันเขข้าไปลงทุนในจีน
ซึ่งล้วนต้องผ่านฮ่องกงเป็นด่านแรกนั่นเป็นโอกาสของเขาที่จะเข้าไปร่วมเป็นที่ปรึกษาโครงการต่าง
ๆ ของนักลงทุนเหล่านั้น ในฐานะเป็นบริษัทที่ปรึกษาท้องถิ่นที่มีความชำนาญในพื้นที่แถบนั้นเป็นอย่างดี
และอีกประการหนึ่ง นักลงทุนชาวฮ่องกงกำลังจะหันเหออกมาลงทุนในต่างประเทศ
เพราะความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของเกาะฮ่องกงหลังปี 2540 ซึ่งอังกฤษจะต้องคืนฮ่องกงแก่จีน
ดังนั้นบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นชาวฮ่องกง เช่น เค.เค.ย้ง ย่อมได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากชาวฮ่องกงด้วยกันเองในการให้คำปรึกษาทิศทางการลงทุนในอนาคตของชาวฮ่องกงเหล่านั้น
ดังนั้นธุรกิจของ เค.เค.ย้ง จึงขยายตัวมีสาขาในต่างประเทศเพื่อรองรับทิศทางดังกล่าว
ด้วยความสัมพันธ์กับชาวฮ่องกงและชาวเอเชียเช่นนี้เองที่ทำให้ เค.เค.ย้ง
เข้ามาเกี่ยวข้องกับทีดีแซดในฐานะตัวแทนประจำประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย เพื่อแสวงหานักลงทุนไปลงทุนในดาร์วิน
ในประเทศไทย เค.เค.ย้งไม่ได้มาคนเดียว เค.เค.ย้งอาศัยบริษัทเหรียญทองคู่
จำกัดของเปรม ผาณิตพจมาน เป็นข้อต่อเชื่อมเข้าสู่วงธุรกิจแบบไทย ๆ
บริษัทเหรียญทองคู่เป็นบริษัทเก่าแก่กว่า 30 ปี ผลิตเสื้อยืดรองเท้าตราเหรียญทองคู่
ขายในประเทศ ในช่วง 5-6 ปีหลังพจนีย์ ผาณิตพจมาน ลูกสาวคนโตของตระกูลเริ่มขยายกิจการค้าไปสู่ธุรกิจนำเข้าส่งออกและบริษัทรับเหมาก่อสร้างในต่างประเทศ
ซึ่งด้วยธุรกิจประการหลังนี้เอง ประกอบกับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทำให้บริษัทเหรียญทองคู่
โยพจนีย์และ เค.เค.ย้งตัดสินที่จะทำธุรกิจร่วมกัน
เค.เค.ย้งเป็นนักธุรกิจฮ่องกงที่มีสายตายาวไกลทางด้านการลงทุนระดับนานาชาติ
เมื่อมาร่วมกับพจนีย์แห่งบริษัทเหรียญทองคู่ซึ่งมีความสัมพันธ์อันเก่าแก่กับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเชื้อสายจีนในไทย
จึงเป็นคู่หูที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนแบบทีดีแซดไม่น้อยทีเดียว
ผลงานของคู่หูคู่นี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ 1-2 ปีที่ผ่านมาคือ การเชื้อเชิญผู้ประกอบการการค้าด้านอุตสาหกรรมร่วมสัมมนากับทีดีแซด
จัดกรุ๊ปเพื่อไปทัศนศึกษา ณ เมืองดาร์วิน ซึ่งจัดมาได้ 5-6 กลุ่มแล้ว และล่าสุดผลจากการชักชวนของพจนีย์และเค.เค.ย้ง
ดาร์วินกำลังจะมีโรงงานอุตสาหกรรมพลาสติกจากไทยเข้าไปตั้งในไม่ช้านี้
"มันอาจจะสวนกับความรู้สึกของคไทยที่อยากจะให้ต่างชาติมาลงทุนในไทยมาก
ๆ แต่คุณต้องพิจารณาในแง่ว่า ถ้าคุณอยากจะให้ประเทศของคุณเป็นเสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย
คุณต้องออกลงทุนต่างประเทศ ซึ่งคุณจะสามารถหาตลาดของคุณได้เอง คุณคิดดู เวลาต่างประเทศเขามาลงทุนในไทย
เขามีแต่เงินลงทุนมาให้ แต่เขายังยึดกุมตลาดไว้อยู่ในมือของเขา ซึ่งนั่นจะเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับคุณที่จะต้องพัฒนาประเทศไปแบบพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
หากคุณสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้ คุณก็สามารถพัฒนาสินค้าของคุณเพื่อแสวงหาตลาดใหม่
ๆ ได้ด้วยตัวเอง" เค.เค.ย้ง อธิบายถึงแนวคิดของเขา
ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือโรงงานพลาสติกที่เข้าไปตั้งในดาร์วินนั่นเอง เพราะนอกจากจะเอาโรงงานไปตั้งแล้ว
ตลาดใหญ่ที่สุดของโรงงานแห่งนี้คือออสเตรเลียนั่นเอง
ทั้งนี้ผู้ประกอบการคนไทยที่อยากออกไปตั้งโรงงานที่ดาร์วินก็คงต้องพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างสิทธิพิเศษที่พึงได้ระหว่างไทยกับดาร์วิน
ทั้งเรื่องราคาที่ดิน ภาษี ค่าครองชีพ และค่าแรงงานเป็นต้น ก่อนที่จะไปตั้งรกรากอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หากเขตพัฒนาการค้า ณ เมืองดาร์วิน ประสบความสำเร็จ มีนักลงทุนทั้งฮ่องกง
สิงคโปร์ ไต้หวันและไทยไปลงทุนกันมาก ๆ บางทีรัฐบาลไทยโดยเฉพาะบีโอไออาจจะต้องมานั่งวาดแผนนโยบายส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของคนไทย
เช่นไทยได้ออกไปกระโดดในเวทีนานาชาติอย่างมีทิศมีทางบ้างก็เป็นได้