ปลุกชีพเจ้าหญิงนิทรา กว่า 20 ปีของชนัตถ์"THE PRINCESS HOTEL"


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

โรงแรมแห่งแรกของชนัตถ์ ปิยะอุย ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มีการบูมของธุรกิจการโรงแรม การท่องเที่ยว เนืองจากกรุงเทพฯ ยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางที่เป็นประตูสู่เส้นทางการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ ความต้องการของห้องพักมากเหมือนวันนี้ จึงไม่มี

โรงแรมแห่งนั้นมีอายุยืนยาวเกือบ 20 ปี แล้วชนัตถ์ก็ตัดสินใจขายไป

วันเปิดโรงแรม 6 พฤษภาคม 2492 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเสด็จมาเป็นประธานเปิดงาน เปิดโรงแรมซึ่งชนัตถ์ให้ชื่อว่า "THE PRINCESS HOTEL" ถือว่าเป็นความหลังที่น่าประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งของเขา ถึงมันจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักแต่มันก็เหมือนรักครั้งแรกที่ฝังใจเขาอยู่

ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวชนัตถ์เองว่า….อีก 40 ปีต่อมาในวันเดียวกันนั้น 6 พฤษภาคม 2532 THE PRINCESS HOTEL จะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ขายไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

THE PRINCESS HOTEL ครั้งนั้นตั้งอยู่ที่เจริญกรุง 20 ปีให้หลังมันก็ถูกขาย พร้อมกับเหตุผลที่ว่าชนันถ์ต้องการจะเปิดโรงแรมใหมให้ใหญ่โตโอ่โถงมากที่สุดในยุคนั้นดุสิตธานี นำความสำเร็จ ความสมหวังมาให้อย่างที่เขาตั้งใจจนทุกวันนี้โรงแรมที่เขาลงทุนเองมีถึง 11 แห่ง นับเป็นเวลาอีก 20 ปี ชนัตถ์จึงเปิด THE PRINCESS HOTEL ขึ้นใหม่อีกครั้ง

THE PRINCESS HOTEL แห่งใหม่นี้เดิมทีเป็นโรงแรมราชศุภมิตร ของอาจิณ ทั้งสินเจ้าของเดียวกันกับโรงแรมแม่น้ำได้ทำการขายให้กับชนัตถ์ ด้วยต้องไปบริหารโรงแรมแม่น้ำอย่างจริงจัง ผนวกกับไม่สามารถต่อสัญญาเช่าที่ดินตรงนั้นจากตระกูลบูรานานนท์ได้ กลุ่มดุสิตธานีของชนัตถ์จึงซื้อเอาไว้พร้อมที่ดินตรงนั้นเมื่อ 2 ปีก่อน ทั้งหมดเป็นราคาประมาณ 88 ล้านบาท

วรพงศ์ วรรณกร นั่งในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของ THE PRINCESS HOTEL เขาถูกทาบทามให้เข้ามาบริหารกลุ่ม THE PRINCESS ในฐานะเป็นผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการโรงแรมมาแสนนาน และที่สำคัญเขาเคยร่วมงานกับชนัตถ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ในสมัยแรก ๆ ของดุสิตธานี เคยเห็นฝีมือกันอยู่จึงเกิดความมั่นใจ เขาเล่าให้ฟังว่า "ก่อนนั้นเคยทำงานให้คุณชนัตถ์ เดี๋ยวนี้มาทำงานให้คุณชนินทร์ ซึ่งเป็นลูกชายชนัตถ์เป็นคนมาทาบทามผม….ผมมันชอบอะไรท้าทายนะ ก็รับปาก"

แนวคิดของโรงแรม เดิมทีนั้นคือโรงเรียน-โรงแรม เพื่อผลิตบุคลากรทางด้านการโรงแรมและออกมาฝึกการปฏิบัติที่โรงแรม วรพงศ์กล่าวว่าเขาได้ให้ความเห็นต่อกลุ่มผู้บริหารว่ามันไม่เหมาะ ถ้าจะให้โรงแรมเป็นที่ฝึกภาคปฏิบัติของนักเรียนในโรงเรียน "คือเมื่อเกิดการผิดพลาด เช่นการให้การบริการกับแขก มันจะทำให้เสียภาพพจน์ของโรงแรม" เขาว่าตามประสบการณ์ที่เคยทำงานมาให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

และสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้แนวของโรงแรมต้องเปลี่ยนไป คือ การเปิดโรงเรียน-โรงแรม ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากสิงคโปร์ เมื่อมาดูสถานที่ปรากฎว่าพื้นที่เล็กเกินไปสำหรับที่จะทำให้โรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ในส่วนหลังของโรงแรมนั้นมีอยู่เพียง 1.5 ไร่ แต่ความเหมาะสมอยู่ที่ 3-5 ไร่

โรงเรียน-โรงแรม ตามแนวคิดเดิมจึงไม่เกิดขึ้น แนวความคิดใหม่ของกลุ่มดุสิตธานี คือโรงแรมที่มีบรรยากาศแบบสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว แต่หรูหราวรพงศ์บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ตอนแรก ๆ ก็ไม่ยอมรับนะ แต่มาบังเอิญที่จะทำเป็นโรงเรียน-โรงแรมแบบเก่านั้นก็ไม่ได้…ตอนหลังก็…โอ.เค."

THE PRINCESS HOTEL วันนี้พิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างน้อยใครที่บอกว่า สถานที่ตั้งของโรงแรมไม่เหมาะสมก็คงจะพูดเช่นนั้นไม่ได้อีกเพราะสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว 5 นาทีก็ถึงราชดำเนินภูเขาทอง โลหะปราสาท วัดพระแก้ว ซึ่งอยู่ในแนวเขตชั้นในของกรุงรัตนโกสินทร์ มันสะดวกที่สุด

"แขกที่มาพัก ถัวเฉลี่ยอยู่กับเรา 3.5 วัน สูงกว่าโรงแรมในกทม.อื่นซึ่งถัวเฉลี่ยตก 2.5 วันเท่านั้น" เขากล่าวถึงผลสำเร็จของสถานที่ตั้งที่ใกล้แห่งท่องเที่ยว

แต่ที่จริงจุดขายของโรงแรมนั้นอยู่ที่ F&B หรือแผนกอาหารและเครื่องดื่มที่ทำกำไรสุทธิได้ 30% ของยอดขาย แขกที่เดินเข้าออกตรงจุดนี้ ไม่ใช่ชาวต่างชาติ แต่เป็นคนไทยที่มีทั้งนักธุรกิจ และข้าราชการ รวมไปถึงบุคคลสำคัญท่านอื่น ๆ

วรพงศ์เล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า "ตอนกลางวันนะบางที่แขกเราไม่มีที่นั่ง…เจ้านายใหญ่ ๆ โต ๆ มานะที่นี่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็มา มารับรองแขก" เขาใช้เงินเพื่อปรับปรุงโรงแรมทั้งโรงแรม 220 ล้านบาท ถ้าคิดรวมค่าซื้ออีก 88 ล้านบาท ตกเป็นเงินประมาณ 308 ล้านบาท

งบประมาณกับความสำเร็จที่แสนคุ้ม แต่วรพงศ์บอกว่ามันไม่ได้อยู่แค่นั้น

"ผมให้ความสำคัญกับคุณภาพของการบริการมากบริการต้องดี อาหารต้องดี ผมว่าอย่างนี้…แล้วเดี๋ยวแขก็มากันเอง" เขาตอบคำถาม เมื่อถูกถามว่าบริการอย่างไรจึงทำได้อย่างทุกวันนี้

วรพงศ์ ไม่เคยเรียนวิชาการบริหารโรงแรมจากที่ไหน เขาหาเรียนจากประสบการณ์ชีวิตที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานานค่อย ๆ เรียนรูไปทำไป ตั้งแต่อายุราว 15-16 มีโอกาสไปอยู่ที่นิวยอร์ก เพราะพี่ชายทำงานอยู่ที่นั่น เขาเล่าว่าได้มีโอกาสเห็นบรรยากาศในโรงแรมต่าง ๆ รู้สึกชอบบรรยากาศแบบนั้น เป็นความประทับใจมา แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำงานโรงแรม "จริง ๆ แล้วเดี๋ยวนี้ผมก็ยังชอบที่จะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุนมากกว่า"

ก่อนหน้าที่เขาจะมารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของ THE PRINCESS HOTEL เขาเดินเข้าออกตลาดหุ้นอยู่ประมาณ 3 เดือน "ก่อนหน้านั้น ผมอยู่ที่สิงคโปร์มา 12 ปี" เขาได้มีโอกาสสร้างชื่อเก็บไว้ในเรคคอร์ดให้วงการโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ในสิงคโปร์ให้เป็นที่รู้จัก ผลงานชิ้นโบแดงคือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโรงแรมเมอร์รินที่สิงค์โปร์ จนประสบความสำเร็จขึ้นมา เขามีความชำนาญมากทางด้านภัตตาคาร ร้านอาหาร ดิสโก้บาร์ หรือแม้แต่สถานที่จัดเลี้ยงเพราะฉะนั้น F&B แผนกอาหารและเครื่องดื่มที่ THE PRINCESS HOTEL จึงเป็นจุดขายที่สำคัญเป็นที่รู้จักกันโดยปากต่อปาก

ความชำนาญผสมความโชคดี ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงการโรงแรม คือเจ้าของโรงแรมเกิดเป็นเจ้าของแบงก์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ UNITED OVERSEA BANK เพราะฉะนั้นงานอื่น ๆ จึงตามเขามา จนชื่อเสียงโด่งดัง ตำแหน่งสุดท้ายก่อนจะกลับมาเมืองไทยคือผู้จัดการใหญ่โรงแรมมีชื่อแห่งของสิงคโปร์ "THE PLAZA HOTEL"

เรื่องของความชำนาญ เรามักจะยกไว้ให้สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามาก วรพงศ์เองก็เป็นคนหนึ่ง ถึงแม้วาเขาจะบอกว่า "ผมทำอะไร ผมไม่ใช่อดีตเลย ผมจะดูจากคนทำงานของผม"

ไม่ว่าจะเป็นอะไร วรพงศ์ก็ยังคงยืนยันว่า เขาไม่ได้ใช้วิชาการบริหารอะไรทั้งสิ้น จะมีก็แต่การเน้น การบริการ ความพิถีพิถันของอาหาร และบรรยากาศที่หรูหราเท่านั้นจริง ๆ เจ้าหญิงนิทราของชนัตถ์จึงถูกปลุกให้ตื่นและคึกคักอยู่อย่างวันนี้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.