คู่คิดของนักเลงโบราณโกศล ไกรฤกษ์ผู้นี้เป็นชาวอินเดียถือกำเหนิด ในอังกฤษ
อายุเพียง37 ปี แต่มีความรู้ความชำนาญในการตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการคลังให้กับธนาคารไทยหลายแห่ง
ล่าสุดเพิ่งให้คำปรึกษาเรื่องการออกพันธบัตรให้แก่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ
จำกัด แต่เผอิญเจอปัญหาเงินเฟ้อเสียก่อน การออกพันธบัตรจึงเลือนไปอย่างไม่มีกำหนด
ปัจจุบันหนุ่มสองสัญชาติผู้นั่งอยู่ที่ THE ASIANPACIFIC GROUP ในตำแหน่ง
CHEF OPERATING OFFICER ดิเอเชียนแปซิฟิกลุ๊ปเป็นกลุ่มนักลงทุนในลักษณะโฮมดิ้ง
คัมปะนี และจะร่วมทุนถือหุ้นในกลุ่มที่เสนอซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์ด้วย
ราเกชเปิดเผยกับ " ผู้จัดการ " ว่าแรกเริ่มเดิมทีเขารู้จักกับนักเลงโบราณก็เพราะมีความสนิทสนมกับจุติและ
พิกุลแก้ว ลูกชายและลูกสาวของโกศล ไกรฤกษ์ หลังจากนั้นมีธุรกิจร่วมกันหลายโครงการ
เช่น PHIYSANULOK FARM & DAIRY COMPANY LIMITED และทำธุรกิจเรียลเอสเตทที่พัทยา
เป็นต้น
บทบาทของราเกชในการทำแผนเสนอซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์นั้นว่าเขาเป็นตัวหลักในการทำแผนเลยทีเดียวก็ว่าได้
เพราะเข่ทำการวางแผนหลักในการเสนอซื้อ ทำแผนการต่อติดประสานงานกับนักลงทุนต่างชาติ
และวางแผนการจัดการปัญหาหนี้ของบริษัท ฯ ในส่วนของสภาบันการเงินของต่างประเทศที่ราเกชติดต่อนั้น
แรกเริ่มมีถึง 5-6 รายต่อมาก็เจรจาตกลงกันได้ 2 รายซึ่งจะต้องทำการเลือกเอารายใดรายหนึ่งให้เขามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
เท่านั้น
2 รายสุดท้ายที่ตอบตกลงสนใจจะถือหุ้นด้วยคือ เอลเดอร์ส ฟายแน้นซ์ (ELDERSFINANCE
GROUPLTD ) จาก AUSTRALIA ส่วนอีกรายคือ ASIAN OCEANIC GROUP LTD จาก HONGKONG
ในส่วนของเอลเดอร์สนั้นมีภาษาดีกว่า เพราะเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียประเภทที่ไม่ใช่ธนาคาร
และเข้ามาเป็นที่รู้จักคุ้นในเมืองไทย เมื่อเป็นที่ปรึกษาในการลงทุน และเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นกองทุนใหม่ล่าสุด
THE THAI ASSET FUND ที่กองทุนรวมเพิงจะนำเข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกงและออสเตรเลีย
โครงการผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมในการซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์มีดังนี้คือ เอลเดอร์ส
ฟายแน้นซ์ กรุ๊ป ประมาณ 35 % เอเชียน แปซิฟิค กรุ๊ป 30 % กลุ่มโกศล 20 %
และธนาคารในประเทศซึ่งคาดว่าจะเป็นสหธนาคารร่วมด้วยอีก 10 % ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย
ราเกชอาจจะเข้านั่งเป็นกรรมการผู้จัดการประมาณ 3 - 4 เดือน แรกจนกว่าสจะมีกรรมการผู้จัดการคนไทยขึ้นมานั่งแทน
ซึ่งในขณะนี้มีคนสมัครเข้ามา 2 คนแล้วเป็นคนจากธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งยังไม่เปิดเผย
ในส่วนของซื้อบริษัทคาดว่าจะมีการเปลี่ยนใหม่ แต่ทั่งนี้ยังไม่มีการกำหนดที่แน่ชัด
ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นฝ่ายต่างประเทศ ราเกชเปิดเผยว่าในส่วนของกรรมการและพนักงานชุดเดิมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบางดคด้วยสาเหตุที่ว่า
" หากดคนเก่า ๆ เหล่านี้เป็นคนดีแล้วบริษัทย่อมไม่น่าเจ๊งได้ "
ทางด้านการซื้อหนี้สินทั้งหมดของตะวันออกฟายแน้นซ์นั้น ราเกชเปิดเผยกับ
"ผู้จัดการ " ว่ามีมูลค่าทั้งสิน 1,100 ล้านบาท หนี้สินเหล่านี้เมื่อเจรจารต่อรองกับฝ่ายเขาและแบงก์ชาติแล้วได้มีการตีค่าออกมาดังนี้
- 400 ล้านบาทเป็นค่าใบอนุญาต 9 ใบคือทางด้านหลักทรัพย์ 4 ใบ เงินทุน 4
ใบ และเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์อีก 1 ใบ
- 250 ล้านบาทเป็นการต่ออายุเงินซอฟท์โลนออกไปอีก 6 ปี
- 300 ล้านบาทเป็นค่าอนุญาตให้เปิดสาขาทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดรวม 14สาขา
และใบอนุญาตทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย
- 335 ล้านบาท เป็นเงินจดทะเบียนที่ราเกชและโกศลต้องนำเงินสดเข้าเพิ่มทุน
แต่ไม่ต้องเสียค่าพรีเมียม
หนี้สินทั้งหมดเมื่อนำมาแลกกับใบอนุญาตทั้งหลายที่ได้มาในครั้งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มจริง
ๆ ยิ่งกว่าคุ้ม เพราะเป็นที่รู้จักกันดีว่าธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์นั้นไม่ใช่ว่าจะขอมาง่าย
ๆ ถึงขอก็ไม่ได้
ราเกชเขาเล่าว่าราคาที่เขาเสนอนี้เป็นราคาที่สูงที่สุดและไม่มีใครกล้าสู้งเขาเลย
ไม่ว่าจะเป็นซิตี้แบงก์ หรือแบงก์อินโดสุเอซก็ตาม ซึ่งสถาบันการเงินในประเทศไม่ต้องพูดถึง
และเป็นราคาที่เสนอครั้งแรก โดย ไม่มีการต่อรองแต่อย่างใด เขาเผยเคล็ดลับว่าถ้าเสนอราคาถูกต้องเหมาะสม
ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการเจรจากับแบงก์ชาติ
ราเกซตั้งเป้าหมายไว้จะสามารถทำกำไรจากธุรกิจนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในปีแรก
และในช่วง 5 ปีต่อไปจะทำได้ในระหว่าง 500 - 700 ล้านบาทโดยเน้นธุรกิจทางด้านค้าหลักทรัพย์
การออกตั๋วแลกเงินและเงินทุนต่าง ๆ
เขาคาดหมายด้วยว่ารัฐมนตรีคลัง ประมวล สภาวสุ จะเซ็นอนุมัติให้กลุ่มเขาเข้าไปดำเนินการฟื้นฟูเร็ว
ๆ นี้ และเมื่อสำเร็จจากตะวันออกฟายแน้นซ์แล้วเขายังมาโครงการที่จะซื้อทรัรต์อื่นอีกในโครงการ
4 เมษา ฯ ด้วย
มันคงเป็นเรื่องง่าย ๆ เมื่อเขาเคล็ดลับอย่างนี้แล้ว !