ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ต้นปี 2532 เป็นต้นมา ประเทศไทยดูเหมือนจะได้รับการสนใจจากบริษัทต่างชาติเจ้าของสินค้าราคาแพงระดับโลกเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาของธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนังระดับหรูหราจากฝรั่งเศสถึง
7 ยี่ห้อดังอย่าง LOEWE, DAKS, LANVIN, LANCEL, JAEGER, FRATELLI ROSSETTI
และ LOUIS VUITON ที่มาเปิดตัวพร้อมกันเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่เพนนินซูล่าพลาซ่า
หรือแม้กระทั่งบริษัทผู้ผลิตนาฬิการะดับสุดยอดของราคาจากสวิตเซอร์แลนด์ยี่ห้อโอเดอะมาร์
(AUDERMARS PIGUET) ที่หนังสือ THE GUINNESS BOOK OF RECORDS 1989 ยกให้เป็นนาฬิกาที่มีราคาสูงที่สุดในโลก
โดยที่ไม่ได้ประดับด้วยเพชรหรืออัญมณีใด ๆ ก็ยังจะมาสร้างโชว์รูมถาวรขึ้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ด้วยรูปแบบของโชว์รูมที่สวยสง่าของหินอ่อนสีเขียวเข้มล้ำค่าสมกับตัวสินค้า
นับเป็นโชว์รูมต้นแบบสำหรับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่จะเปิดโชว์รูมต่อไป อันได้แก่
อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี
สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในการผลิตนาฬิกาชั้นเยี่ยมของโลกมาร่วม
500 ปีแล้ว โอเดอะมาร์ ปีเก้หรือที่มีเครื่องหมายการค้าที่เรียกกันทั่วไปในหมู่ชาวเอเชียว่า
"เอพี" (AP) ก็เริ่มขึ้นที่นี่ด้วยคน 2 คน คือ จูลส์ โอเดอะมาร์และเอ็ดเวิร์ด
ปิเก้ ตั้งแต่ปี 2432
ในปัจจุบัน มีโรงงานเพียงแห่งเดียวตั้งอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ บนภูเขายูรา (JURA)
เพื่อผลิตนาฬิกาที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือ (HANDMADE) เกือบ 100% และเริ่มเข้าสู่ตลาดเมืองไทยเมื่อ
18 ปีก่อน โดยมีตัวแทนจำหน่ายคือ บริษัท ทริโอ อิมปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อดังที่เรารู้จักกันดีอย่าง
โอเมก้า ปัจจุบัน ทริโอเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกา 3 ยี่ห้อหลัก ๆ เท่านั้ นคือ
โอเมก้า ทีโซ่ (TISSOT) และโอเดอะมาร์ ปิเก้ ซึ่งเป็นนาฬิกาจากสวิสทั้งหมด
"เดิมนั้น เราขาย 2 ยี่ห้อ คือ โอเมก้า ลแะทีโซ่ ซึ่งเป็นบริษัทที่ใกล้ชิดกันมากในสวิส
เป็นนาฬิกาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน แล้วเราก็มีความคิดที่จะมีสินค้าที่เข้าสู่ตลาดที่สูงขึ้น
ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ทางโอเมก้าเองก็กำลังมีข้อตกลงกับปิเก้ในการที่จะให้ตัวแทนโอเมก้าเป็นตัวแทนปิเก้ด้วย
เราก็เลยได้ปิเก้มาอีกในปี 2514" กมล ประคัลภกุล MANAGING DIRECTOR
ของทริโอ อิมปอร์ต เล่าถึงที่มาการได้มาเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิการะดับหรูหราราคาระดับโลกยี่ห้อปิเก้"
ความจริงโดยพื้นฐานของการเข้ามาสู่ธุรกิจนาฬิกาของกลมนั้น เริ่มต้นขึ้นในสมัยรุ่นพ่อที่มีร้านค้านาฬิกาอยู่ที่บริเวณเสาชิงช้าชื่อร้าน
"ซีฮวด" เป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาจากสวิสหลายยี่ห้อรวมทั้งโอเมก้าด้วยกิจการก็ดำเนินมาเรื่อย
ๆ หุ้นส่วนต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม ภายหลังก็ต่างแยกย้ายกันไปบ้าง จนกระทั่งเลิกกิจการที่เสาชิงช้าไปเหลือเพียงกลมรุ่นลูกดำเนินกิจการต่อไป
โดยมาตั้งร้านทริโอเป็นตัวแทนจำหน่ายโอเมก้า และทีโซ่ที่สยามสแควร์จนปัจจุบันโดยมีกลุ่มเป้าหมายแบ่งตามระดับราคานาฬิกาแต่ละยี่ห้อ
โดยที่โอเมก้านั้นจะมีราคาตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป และทีโซ่จะเป็นนาฬิกาในระดับราคาตั้งแต่
1,500 บาทขึ้นไป ส่วนปิเก้เป็นนาฬิกาที่มีราคาตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไปจนกระทั่งถึงหลักล้านบาท
แล้วแต่ความสลับซับซ้อนของรุ่นและเครื่องประดับที่ตกแต่งเพิ่มเติม
กมล กล่าวว่า รุ่นที่ได้รับการบันทึกในหนังสือ THE GUINNESS BOOK ว่าเป็นนาฬิกาที่ราคาสูงที่สุดในโลกนั้น
คือ ปิเก้รุ่น GRANDE COMPLICATION ราคาประมาณ 9 ล้าน 2 แสนบาท นับเป็นนาฬิกาที่ราคาสูงด้วยความพิเศษของนาฬิกาที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ที่สลับซับซ้อนของชิ้นส่วนขนาดจิ๋ว
416 ชิ้นใช้เวลาในการประกอบนานถึง 8-12 เดือน โดยไม่มีการประดับด้วยเพชรหรืออัญมณีใด
ๆ นาฬิการุ่นนี้ไม่มีวางขายแต่เป็นการสั่งทำเป็นกรณีพิเศษและสามารถผลิตนาฬิการุ่นนี้ได้เพียงปีละไม่เกิน
2 เรือนเท่านั้น
"ลูกค้าเป้าหมายของปิเก้จะเป็นผู้ที่มีรสนิยมสูง นิยมศิลปวัตถุ และนักสะสมนาฬิกา
เพราะนาฬิกาที่ผลิตด้วยมือนั้นจะเป็นการผลิตด้วยความประณีตด้วยฝีมือของช่าง
1 คน ต่อ 1 เรือน และโดยมากนาฬิกากลุ่มนี้จะไม่ใช่นาฬิกาควอทซ์ แต่จะเป็นนาฬิกาไขลานและอัตโนมัติ
เพราะสามาถรเก็บรักษาได้นาน จะหยิบมาใช้ในโอกาสพิเศษเมื่อไหร่ก็ได้"
กมลกล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายของนาฬิการะดับโลกยี่ห้อนี้
แม้ราคาจะสูงแต่คนไทยในระดับเอ็กซคิวทีฟก็รู้จักชื่อเสียงเป็นเจ้าของอยู่หลายราย
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อมาจากต่างประเทศมากกว่าที่จะซื้อจากทริโอ เพราะคนไทยในระดับนี้จะเดินทางไปต่างประเทศบ่อยและเมื่อมีโอกาสก็จะซื้อกลับมาโดยที่ไม่ต้องเสียภาษีขาเข้า
ซึ่งโดยมากแล้วศุลกากรก็จะไม่ติดใจสงสัยเมื่อมีการใส่นาฬิกาใหม่กลับเข้าประเทศ
ถึงแม้ว่าราคาภายในประเทศจะมีราคาใกล้เคียงกับต่างประเทศก็ตาม แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังเชื่อว่าซื้อสินค้าจากต่าปงระเทศจะได้ของถูกก็ยังมีอยู่มาก
โดยเฉพาะในร้านค้าปลอดภาษี
"เรามีความเชื่อว่า ผู้บริโภคในประเทศไทยจะมีมากขึ้นที่มาซื้อสินค้ากับเรา
ถึงแม้ว่าเราจะเสียภาษีขาเข้าและภาษีต่าง ๆ รวมแล้วประมาณ 30% ของราคาสินค้าที่นำเข้า
แต่เราก็ได้เปรียบทางด้านค่าแรงของพนักงานขาย พนักงานบริการต่าง ๆ ซึ่งในต่างประเทศจะแพงมาก
เพราะสินค้ามักจะมีขายในร้านนาฬิกาชั้นนำ ร้านเพชร ร้านอัญมณี" กมลกล่าวเปรียบเทียบถึงการซื้อขายนาฬิกาปิเก้ในต่างประเทศและในไทย
ด้วยเหตุที่กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มที่เล็กและมีวงจำกัดอยู่ในกลุ่มชั้นสูง
และในกลุ่มของนักสะสมนาฬิกา ดังนั้นการส่งเสริมการขายในประเทศที่จัดการโดยทางทริโอจึงมีไม่มากนัก
การลงโฆษณาในหนังสือต่าง ๆ ในกลุ่มนี้อ่านก็มักเป็นหนังสือที่ขายออกไปยังตลาดนานาชาติ
ซึ่งทางบริษัทโอเดอะมาร์ ปิเก้ ที่สวิสเป็นผู้จัดการให้ ดังนั้นการโปรโมชั่นต่าง
ๆ เพื่อการแข่งขันกันกับนาฬิกายี่ห้ออื่นในประเทศไทยจึงไม่จำเป็น เพราะ POSITIONING
ของสินค้าที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น ยิ่งมีราคาที่สูงในระดับแสนบาทขึ้นไปด้วยแล้วมีคู่แข่งขันน้อย
จะมีก็เพียงยี่ห้อ "PATEK PHILIPPE" ที่เอส.เสนา เป็นตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
"ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าของเราในประเทศยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่เราก็เชื่อว่า
ในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไปจะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ซึ่งจะเป็นที่สำคัญและที่ใหญ่ของเอพี และทางสวิสเองก็คิดอย่างเราจึงได้ลงทุนที่จะเปิดโชว์รูมอันหรูหราขึ้นในไทยที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
โดยจะเป็นต้นแบบถาวรแห่งแรกสำหรับโชว์รูมในประเทศอื่น ๆ ต่อไป" กมลให้ความเห็นถึงความเชื่อมั่นของเขาในการทำตลาดในอนาคต
ความสำเร็จทางการตลาดของสินค้าแต่ละประเภทส่วนหนึ่งอยู่ที่การเลือกกลุ่มเป้าหมายเลือก
POSITIONING ของสินค้าและแบ่งส่วนทางการตลาดที่มีมากพอจะสามารถสร้างกำไรให้กับเจ้าของสินค้าได้
โอเดอะมาร์ ปิเก้สามารถยืนยงอยู่ได้มานานในตลาดโลกร่วม 100 ปี ในตลาดประเทศไทยร่วม
20 ปีแล้ว อีกทั้งยังมีพัฒนาการทางด้านตัวสินค้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มที่เล็ก
แต่ก็สามารถสร้างกำไรให้เกิดขึ้ไนด้ ตราบใดที่คนเรายังต้องการความแตกต่าง
ต้องการความพึงพอใจ ความภูมิใจในการที่ได้เป็นเจ้าของสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ที่พิถีพิถันด้วยความประณีตของโอเดอะมาร์
ปิเก้ ที่ให้ในสิ่งที่นาฬิกาอื่น ๆ ให้กับผู้เป็นเจ้าของไม่ได้
ตราบนั้น โอเดอะมาร์ ปิเก้ ก็จะยังคงมีส่วนแบ่งในการตลาดที่มากพอจะมีกำไรได้เป็นอย่างดี