|
“โกมล”ซื้อ “SECC” ฉวยจังหวะป่วน ถือหุ้นใหญ่11%
ผู้จัดการรายวัน(17 ธันวาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
“โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ” ฉวยจังหวะ “เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ฯ” ป่วน กรณีผู้บริหารทุจริต ดอดเก็บหุ้นเพิ่มอีก 3.13% ส่งผลให้ถือหุ้นรวมกว่า 11% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ด้านบริษัททุนธนชาต ยันไม่ได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อ เหตุแบงก์ธนชาต ปล่อยกู้ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้าบล.มีเพียง 3 รายที่ไม่สามารถชำระราคาซื้อหุ้น และกำลังอยู่ระหว่างทำสัญญาประนอมหนี้ ด้านศูนย์รับฝากฯ หารือ ก.ล.ต. ให้นักลงทุนใช้ระบบไร้ใบหุ้น 100% ป้องกันใบหุ้นปลอม
แบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2551 นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้ามาซื้อหุ้นบริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC ซึ่งได้มีการรายงานต่อก.ล.ต.ในวันที่ 15 ธันวาคม 51 ในสัดส่วน 3.13 % ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 11.33% ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วทั้งหมด
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551ได้มีการซื้อหุ้นจำนวน 8 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.32% จากก่อนหน้านี้ถือหุ้น 28.33 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.66% ทำให้ภายหลังการซื้อหุ้นทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 36.33 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.98%
จากการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 3 พ.ย. 51 พบว่า การถือหุ้นครั้งนี้ของนายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 รองจากนายชาญ เลิศประเสริฐภากร ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ที่ถือหุ้นอยู่จำนวน 90.92 ล้านหุ้น คิดเป็นสัด่วนประมาณ 14.72%
ด้านนายภาณุพันธุ์ ตวงทอง รองผู้อำนวยการ สำนักเลขานุการองค์กร บริษัททุนธนชาต จำกัด (มหาชน)หรือ TCAP เปิดเผยว่า ธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TCAP มียอดสินเชื่อที่ปล่อยให้กับ SECC คงเหลือน้อยกว่า 100 ล้านบาท โดยมีเงินฝากในชื่อบัญชีของ SECC เป็นหลักประกันประมาณหนึ่งในสามของวงเงิน และที่เหลือมีชุดแจ้งจำหน่ายรถยนต์เป็นหลักประกัน ซึ่งเมื่อนำหลักประกันมาหักชำระหนี้แล้วธนาคารธนชาตจะได้รับความเสียหายน้อยกว่าเงินให้สินเชื่อ
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่าลูกค้าของ SECC กว่า 80% ใช้บริการเช่าซื้อกับธนาคารธนชาต นั้น ข้อเท็จจริงในแต่ละเดือนธนาคารธนชาต ได้ให้บริการเช่าซื้อแก่ลูกค้า SECC เพียงประมาณ 2-3 คัน และลูกค้าทั้งหมดยังเป็นลูกค้าปกติ ส่วนกรณีที่เป็นข่าวว่าธนาคารธนชาต ได้ให้สินเชื่อแก่เต็นท์รถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารของ SECC นั้น ขอชี้แจงว่า ธนาคารธนชาตไม่ได้มีการให้สินเชื่อกับเต็นท์รถดังกล่าวแต่ประการใด
ขณะเดียวกันลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ซื้อหุ้น SECC และไม่สามารถชำระหนี้คงค้างได้มีจำนวน3 ราย รวมเป็นเงิน 35 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดอยู่ในระหว่างการทำสัญญาประนอมหนี้ ทั้งนี้ไม่มี นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการ SECC เป็นลูกค้าของ บล.ธนชาต แต่อย่างใด
ขณะที่นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ประเทศไทย จำกัด (TSD) กล่าวว่า จากกรณีตรวจพบใบหุ้นปลอมของ SECC ทางศูนย์รับฝากฯ ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อผลักดันเพื่อให้นักลงทุนมีการใช้ระบบไร้ใบหุ้น ( Scripless) 100% ซึ่งทาง ก.ล.ต. พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว
โดยปัจจุบันระบบซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นระบบไร้ใบหุ้น 80% และอีก 20% เป็นเป็นใบรับฝากหุ้น โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี คาดว่าการซื้อขายหุ้นจะเป็นระบบ ไร้ใบหุ้นทั้ง 100%
นางสาวโสภาวดี กล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์รับฝากฯ อยู่ระหว่างทำแผนงาน เพื่อเสนอให้ ก.ล.ต. พิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งต้องมีการแก้ไข พ.รบ.หลักทรัพย์ฯ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับในการใช้ระบบไร้ใบหุ้น 100% แม้ไทยยังถือว่าดีกว่าบางประเทศอย่างตลาดหุ้นสิงคโปร์ ที่ใช้ระบบไร้ใบหุ้นแค่ 60-70%
“ศูนย์รับฝากฯ พยายามเดินหน้าชักชวนให้นำใบหุ้นมาฝาก เพื่อความปลอดภัยและผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น”
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ SECC ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบทรัพย์สินทุกรายการของบริษัทภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการ ได้หลบหนีออกนอกประเทศนั้น คณะทำงานได้แต่งตั้งให้พนักงานของบริษัทฯ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายเป็นผู้ทำการตรวจสอบทรัพย์สินเบื้องต้นของบริษัทฯ ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้รับรายงานว่า คาดว่ามีรถยนต์จำนวน 476 คัน ได้สูญหายไปจากคลังสินค้าของบริษัทฯ และมีจำนวนอีก 5 คัน ที่ถูกเจ้าหนี้ส่วนตัวของนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ยึดเอาไปจากโชว์รูมของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบในเชิงลึก ว่ารถยนต์จำนวนดังกล่าวหายไปจากคลังสินค้าได้อย่างไร และดำเนินการติดตามเอารถยนต์ที่หายไปกลับคืนมาต่อไป ส่วนมูลค่าความเสียหาย จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าคิดเป็นมูลค่า 1,358.37 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของสินทรัพย์รวม (สินทรัพย์รวม ณ กันยายน 2551) มูลค่ารวม 2,252.33 ล้าน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|