คำตอบสำหรับชีวิตหลังวัย 60 ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในวันนี้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
นอกเหนือไปจากเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน ไปทำไร่ทำสวนต่างจังหวัด ซึบซาบกับรสพระธรรมหรือเริ่มต้นการพักผ่อนอย่างแท้จริงของชีวิต
เส้นทางสายใหม่หลังปิดฉากการเป็นข้ารับใช้ประชาชน คือ เข้าสู่ภาคธุรกิจเอกชน
ใครเลยจะปล่อยให้ผู้ที่สูงด้วยควารู้ความสามารถมากด้วยประสบการณ์จากความรับผิดชอบในภาระต่อชาติบ้านเมืองนั่งอยู่กับบ้านเฉย
ๆ กินบำนาญหลวงไปวัน ๆ ได้ บริษัทเอกชนใหญ่ ๆ หลาย ๆ แห่งเต็มอกเต็มใจเชื้อเชิญให้มานั่งกินตำแหน่งสูง
ๆ ในธุรกิจของตน
ไม่ต้องทำอะไรมากมายเพียงแค่ให้คำแนะนำคำปรึกษาในฐานะผู้เจนโลกก็เกินคุ้มแล้ว
นอกเหนือจากการเป็นหน้าตาภาพพจน์ให้กับองค์กร ถ้าจะต้องลงแรงมากขึ้นอีกสักหน่อยก็เป็นเรื่องการใช้เส้นสายบารมีที่สั่งสมไว้เป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในทางธุรกิจ
สำหรับสังคมธุรกิจที่สายสัมพันธ์ส่วนบุคคลยังเป็นตัวตัดสินชี้ขาดในหลาย
ๆ เรื่องและในสภาพของการแข่งขันที่ต้องเล่นกันทุกรูปแบบแล้ว การเชื้อเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มากด้วยอำนาจ
บารมีให้มานั่งเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหลังจากเกษียณอายุแล้ว เป็นยุทธวิธีการบริหารที่พ้นไปจากหลักการจัดการทั่ว
ๆ ไป
สิ่งที่ได้ในวันนี้อาจยังไม่เห็นชัด แต่ผลในวันหน้านั้นมีแน่ !
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พลตำรวจเอกเภา สารสิน จะได้รับการเชื้อเชิญจากบัญชา
ล่ำซำ ให้มานั่งทำงานเต็มเวลาในตำแหน่งรองประธานกรรมการของธนาคารกสิกรไทย
ภายหลังลุกขึ้นจากเก้าอี้อธิบดีกรมตำรวจเมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
อ.ตร.คนก่อน คือ พลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์ ก็เดินเข้าสู่แบงก์เหมือนกัน ภายหลังสลัดชุดสีกากี
ถอดหมวกตราโล่ออกเมื่อสองปีที่แล้วในตำแหน่งที่ปรึกษาของชาตรี โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ
พลตำรวจเอกเภานั้น ไม่ใช่คนหน้าใหม่ของแบงก์กสิกรไทย บุตรชายคนที่สองของอดีตนายกรัฐมนตรีพจน์
สารสิน และท่านผู้หญิงศิริ สารสินคนนี้เข้ามาเป็นกรรมการธนาคารกสิกรไทยตั้งแต่ปี
2516 และเมื่อสองปีที่แล้ว ก็ได้รับการเชื้อเชิญจากบัญชาให้รับตำแหน่งรองประธานกรรมการ
เพียงแต่ว่าไม่ได้เข้ามานั่งทำงานประจำเพราะยังมีภาระทางราชการของบ้านเมืองอยู่
บทบาทที่เปลี่ยนไปจากการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยาวนานถึง 35 ปีเต็มเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเงิน
ๆ ทอง ๆ พลตำรวจเอกเภายอมรับว่า เป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
"เรื่องเทคนิคทางการเงินนี่ผมยอมรับว่า ไม่ค่อยจะมีความรู้เท่าไร มีหลายสิ่งที่ผมยังไม่รู้และยังจะต้องศึกษา"
พลตำรวจเอกเภายอมรับว่า ยังใหม่สำหรับเรื่องการธนาคารในด้านของการปฏิบัติการ
แต่สำหรับในเรื่องของการบริหารแล้ว สบายมาก สำหรับคนที่ผ่านการบังคับบัญชาตำรวจหนึ่งแสนหกหมื่ตคนที่กระจายกันอยู่ในทุก
ๆ อำเภอทั่วประเทศมาเป็นเวลาสองปีเต็ม
"CONCEPT อย่างเดียวกัน คือ ทำอย่างไรจะต้องให้พนักงานทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อที่ผลประโยชน์จะได้ตกกับทางแบงก์
ในขณะที่ตำรวจก็ต้องทำงานเพื่อบริการประชาชน ซึ่งเป็น CONCEPT ของผมอยู่แล้ว"
งานแรกในฐานะของนายธนาคารหน้าใหม่ผู้นี้ คือ การเดินทางไปตรวจเยี่ยมสาขาที่นิวยอร์กและลอนดอนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน
และต่อจากนี้ก็คือการออกตระเวนเยี่ยมเยียนไปตามสาขาทั่วประเทศ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า
เป็นความต้องการของ "ท่านประธาน" บัญชา ล่ำซำ
พลตำรวจเอกเภาได้ชื่อว่า เป็นอธิบดีกรมตำรวจคนแรกที่เดินทางไปเยี่ยมเยียนสถานีตำรวจครบทุกแห่งทั่วประเทศมาแล้ว
งานเดินสายเยี่ยมสาขาครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
ถึงจะยังไม่มีการมอบหมายหน้าที่โดยเฉพาะเจาะจง แต่เป็นที่รู้กันว่า การดึงพลตำรวจเอกเภาเข้ามาในธนาคารกสิกรไทยก็คือ
การดึงธุรกิจ ลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาหาโดยอาศัยชื่อเสียง บารมี สายสัมพันธ์ของตัวพลตำรวจเอกเภาเอง
"ก็พยายามดึงลูกค้าหลาย ๆ คนที่รู้จักให้เข้ามาใช้บริการของธนาคาร
มีหลายรายที่เอาเงินมาฝาก บางคนที่ได้ยินชื่อผมก็มาหา เมื่อวานนี้โรงน้ำแข็งก็มา
วันนี้แต่เช้าก็มีหมอมาหา จะกู้เงินไปสร้างโรงพยาบาล" พลตำรวจเอกเภาเปิดเผย
เรียกว่าไม่ต้องวิ่งไปหา ไม่ต้องโฆษณา ลูกค้าใหญ่ ๆ ก็เข้ามาหาเอง เพราะความเป็น
"สารสิน"
นอกเหนือจากตำแหน่งรองประธานรกรมการธนาคารกสิกรไทยแล้ว พลตำรวจเอกเภา ยังเป็นประธานกรรมการบริษัทอีกห้าแห่ง
รวมทั้งเลควูดกอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ ซึ่งเป็นโครงการสร้างสนามกอล์ฟอันเป็นกีฬาที่ตัวเองโปรดปรานเป็นพิเศษ
และห้างสรรพสินค้าไทยไดมารูด้วย
พลตำรวจเอกเภาในบทบาทของนายแบงก์วันนี้ ยังตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าเหมือนเมื่อตอนเป็นอธิบดีกรมตำรวจ
ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังต้องคว้าวิทยุมาเปิดฟังเหมือนเดิมตามความเคยชินที่เป็นมาตลอดระยะเวลาสองปี
แต่เป็นความรู้สึกใหม่ที่เจ้าตัวบอกว่าสบายกว่ากันแยะเลย
"อาชีพตำรวจนี่ เราต้องรับผิดชอบอยู่ตลอดเวลา ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง
ต้องเตรียมพร้อมตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มาอยู่ที่นี่ก็เช้าถึงเย็น กลางคืนนอนหลับสบาย
ไม่ต้องมีใครโทรศัพท์มาตามตัวสบายกว่ากันมาก"