ธุรกิจกับศิลปะเป็นสองสิ่งซึ่งโดยเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญของแต่ละฝ่ายแล้วไม่น่าที่จะต้องมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแต่อย่างใด
ด้วยความที่ธุรกิจนั้นเป็นเรื่องของเงินๆทองๆ ที่รู้กันในรูปของผลกำไร ขาดทุน
ในขณะที่ศิลปะเป็นเรื่องของผลงานสร้างสรรค์จากจินตนาการที่จะสัมผัสเข้าถึงได้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก
แต่ชีวิตไม่ได้มีเพียงด้านเดียว นักธุรกิจย่อมมีอารมณ์สุนทรีย์ในการเสพงานศิลปะ
ได้เช่นเดียวกับที่ศิลปินผู้สร้างงานก็ไม่ปฏิเสธเงินทองที่เป็นค่าตอบแทนแลกเปลี่ยนกับผลงานความคิดของตน
ธุรกิจกับศิลปะจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกันบนพื้นฐานความต้องการที่สอดคล้องกันทั้งสองฝ่าย
งานศิลปะทุกวันนี้มีสภาพที่กลายเป็นสินค้าขายคล่องมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อบริษัทธุรกิจใหญ่ๆ
หลายแห่งหันมาสนใจสะสมงานศิลปะกันมากขึ้น จะเพียงแค่ตบแต่งภาพพจน์ให้ดูเป็นผู้มีรสนิยมมากขึ้น
หรือจะเป็นความสนใจชื่นชมอย่างแท้จริงก็ตาม แต่แนวโน้มก็เป็นนิมิตหมายอันดีกับวงการศิลปินบ้านเราที่จะได้ขยายตลาดผู้บริโภคงานศิลปะให้กว้างขวางขึ้น
ฝ่ายผู้ผลิตงานศิลปะเองก็ยอมรับในบทบาทด้านนี้ของธุรกิจที่ทำให้ศิลปินมีกำลังใจสร้างสรรค์งานออกมา
"สมัยที่ผมเรียนอยู่ ใครขายงานได้ชิ้นหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้อแงเลี้ยงแลองกันทั่วทั้งมหาวิทยาลัย"
ศสิลปินละแวกหน้าพระลานท่านหนึ่งย้อนความหลังกลับไปในยุคที่กลุ่มผู้เสพงานศิลปะยังจำกัดอยู่ในแวดวงแคบๆ
ศิวะพร ทรรทรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ เป็นผู้หนึ่งที่นิยมชมชอบในงานศิลปะ
และไม่ลังเลใจกับการควักกระเป๋าซื้องานชั้นเยี่ยมมาสะสมไว้ จนทำให้ทิสโก้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่รวบรวมงานศิลปะของศิลปินชั้นแนวหน้าไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งไม่แพ้ชื่อเสียงการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำ
แต่งานศิลปะจะซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้ ก็ยังมีความแตกต่างจากสินค้าทั่วไปที่ผู้ซื้อเมื่อซื้อไปแล้วจะนำไปใช้สอยอย่างไรก็เป็นสิทธิโดยเด็ดขาดของผู้ซื้อแต่เพียงฝ่ายเดียวสำหรับงานศิลปะนั้น
ศิลปินยังได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายในเรื่องของลิขสิทธิ์อยู่ ถึงแม้ว่าจะได้ขายกรรมสิทธิ์ของงานชิ้นนั้นไปแล้ว
เว้นแต่จะได้มีการโอนสิทธิกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
งานศิลปะหลายชิ้นที่ศิวะพรซื้อเอาไว้ ถูกนำมาใช้เป็นแบบในการโฆษณาทิสโก้
ทั้งในรูปของสิ่งตีพิมพ์และโฆษณาทางโทรทัศน์ หนึ่งในจำนวนที่เป็นแบบโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นผลงาานของปรีชา
เถาทอง ศิลปินที่มีผลงานด้านจิตรกรรมไทยเป็นที่ยอมรับกันทั้งในและต่างประเทศ
เดือนสิงหาคม 2532 ปรีชาทำหนังสือไปถึงศิวะพรทักท้วงในเรื่องการนำงานของตนไปโฆษณาทางทีวี
โดยปรีชาอ้างว่าการกระทำของศิวะพรนั้นเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ว่ากันว่าศิวะพรนั้นเสียความรู้สึกเอามากๆ กับการทักท้วงของปรีชา เพราะถือว่าตนนั้นซื้องานมาโดยถูกต้องก็น่ามีสิทธิ์ที่สมบูรณ์ไม่ควรจะต้องเสียเงินสำหรับการนำไปใช้ทำโฆษณาให้กับปรีชาอีก
และยิ่งเสียความรู้สึกยิ่งขึ้นอีกเมื่อรับรู้มาว่า งานที่ปรีชาขายให้ตนในราคา
8,000 บาทนั้น เป็นงานไม่ได้เป็นงานที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียว หากแต่ปรีชายังได้ทำออกมาอีกหลายกอบปี้ขายให้กับคนอื่นๆ
งานชิ้นดังกล่าวเป็นงานภาพพิมพ์ที่มีชื่อว่า วัด 2530 ซึ่งต้นแบบเป็นส่วนหนึ่งของงานจิตรกรรมซึ่งเป็นผลงานของปรีชาที่ได้รับรางวัลเหรียญทองในการประกวดงานศิลปะแห่งชาติครั้งที่
23 และได้ตัดเอาส่วนนำมาเป็นแบบในการทำภาพพิมพ์ชิ้นดังกล่าว ศิวะพรซื้องานชิ้นนี้มาเมื่อปีที่แล้ว
"ศิลปินมีสิทธิทำได้ เขารับทราบแล้วก่อนที่จะซื้อขายกัน" ปรีชาพูดถึงงานก๊อบปี้งานชิ้นนี้ออกมาหลายๆ
ชิ้นว่า เป็นลักษณะของงานภาพพิมพ์ที่ศิลปินจะพิมพ์ภาพออกมากี่ชิ้นก็ได้สำหรับงานชิ้นนี้นั้นมีอยู่
50 ก๊อบปี้ ขายให้กับญี่ปุ่นไป 20 ก๊อบปี้ ที่เหลือขายในเมืองไทยและเหลือเก็บเอาไว้เอง
2 ก๊อบปี้ ดังนั้นจะมีคนที่มีกรรมสิทธิ์ในภาพพิมพ์เดียวกับศิวะพรอีก 47 คน
สำหรับเรื่องของการทักท้วงเรื่องลิขสิทธิ์นั้น ปรีชาบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องระหว่าง
"กรรมสิทธิ์" กับ "ลิขสิทธิ์"
กรรมสิทธิ์นั้นหมายถึงสิทธิ์ในการครอบครอง เป็นเจ้าของงานศิลปะที่ได้ซื้อไป
ส่วนลิขสิทธิ์นั้นเป็นแนวความคิดที่ศิลปินค้นคว้าสร้างสรรค์มาซึ่งจะตกอยู่กับตัวศิลปินผู้สร้างสรรค์งานชิ้นนั้น
การซื้องานศิลปะเป็นการซื้อกรรมสิทธิ์ไป เอาไปเก็บไว้ชื่นชม แต่ผู้ซื้อไม่ได้ลิขสิทธิ์นั้นไป
เว้นแต่จะได้มีการโอนลิขสิทธิ์ไปด้วย โดยการระบุเป็นลายลักษณ์อักษร
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2521 มีบทคุ้มครองลิขสิทธิ์ของผู้สร้างงานศิลปะไว้
โดยถือว่าการนำงานนั้นไปโฆษณา ทำซ้ำจำหน่ายจ่ายแจก โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
"ผมไม่ได้เรียกร้องเอาเงินทอง แต่ที่ทำเป็นเรื่องของความถูกต้อง ท่านผู้ซื้ออาจจะไม่ทราบ
ผมก็ทักท้วงไปว่าควรจะให้เกียรติกันบ้างโดยขอให้ทิสโก้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ชี้แจงทีมาของโฆษณา
โดยรวมเอาประวัติ แนวคิดของแต่ละท่านลงไปด้วยและให้ใส่ชื่อเจ้าของงานและที่มาของแนวคิดลงไปในโฆษณานั้นด้วย
ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินทองเลย" ปรีชาตบท้ายอรรถาธิบายในเรื่องกรรมสิทธิ์และลิขสิทธิ์ไว้อย่างนี้พร้อมกับเสนอทางออกว่า
ควรจะมีการทำสัญญาโอนมอบลิขสิทธิ์กันให้เรียบร้อยไปเลย
ปกติแล้วโฆษณาที่เป็นสิ่งตีพิมพ์ของทิสโก้จะระบุชื่อศิลปินเจ้าของงานและชื่องานลงไปด้วยทุกครั้ง
แต่สำหรับโฆษณาทางโทรทัศน์นั้น ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณาท่านหนึ่งอธิบายว่า
อาจจะติดขัดที่เทคนิคการผลิต
เรื่องนี้จบลงด้วยการที่ทิสโก้ถอนโฆษณาชิ้นนี้ออกไป เหลือไว้แต่ความหมางใจเล็กๆระหว่างบุคคลทั้งสองซึ่งเกิดขึ้นมาเพราะความไม่รู้มากกว่าที่จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่น
สังคมธุรกิจที่ซับซ้อนขึ้นพลอยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นการซื้องานศิลปะที่หลายแห่งทำนานมาแล้ว
และหลายแห่งเริ่มทำตามมีความซับซ้อน และแง่มุม รายละเอียดเพิ่มขึ้นไปจากเดิมด้วย
ดังเช่นกรณีนี้