|
ปลุกกระแสแบรนด์ China Carเปิดเกมรุกสงครามราคารถนำเข้า
ผู้จัดการรายสัปดาห์(8 ธันวาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
-ยนตรกิจได้ใจส่งรถยนต์จากจีนสร้างฐานตลาดล่าง หลังโกยขายนาซา ฟอร์ซ่าได้ตามเป้า
-เปิดเกมสร้างแบรนดใหม่กรุยทางด้วยกลยุทธ์ราคา
-ล้างภาพลักษณ์ปัญหาเดิมด้านคุณภาพพร้อมสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า
รถสัญชาติจีนพาเหรดตีตลาดไทย สวนเศรษฐกิจดิ่งเหว เปิดกลยุทธ์ราคาถล่มรถยนต์ราคาถูกจากมาเลเซีย หลังพฤติกรรมผู้บริโภควิ่งเข้าหารถราคาต่ำ กลุ่มยนตรกิจ นำร่องส่ง 2 แบรนด์ ทั้งเก๋ง จีลี่ และรถตู้ โพลาร์ซัน หวังโกยตลาดล่าง หลังขายรถถูกจากมาเลเซียเข้าเป้า ด้านดีเอฟเอ็ม หรือ ตงฟงมอเตอร์ส ยักห์ใหญ่จากจีน บุกตลาดรถปิคอัพและมินิแวน ชูกลยุทธ์คุณภาพและบริการ มั่นใจการลงทุนกว่า 500 ร้อยบาทจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยกลับมาคึกคักอีกรอบ หลังมีความเคลื่อนไหวจากผู้เล่นรายใหม่ โดยเฉพาะค่ายรถจากจีนที่ยกขบวนกันเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย สาเหตุที่ทำให้ตลาดนี้กลับมามีสีสัน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เริ่มมองหารถยนต์ราคาถูก เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมัน ประกอบกับค่ายรถจีนบางค่ายที่ชูกลยุทธ์สร้างความต่างด้วยการติดตั้งพลังงานทางเลือกแบบ NGV ก็ทำให้ผู้บริโภคหลายคนเริ่มที่จะหันมาพิจารณารถยนต์จากประเทศจีนมากขึ้น
กลุ่มยนตรกิจ ผู้นำเข้ารถยนต์หลากหลายแบรนด์อาทิ ซีตรอง ,เกีย,ออดี้, มิตซูโอกะ ถือเป็นรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม และมีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เริ่มมองหาช่องทางตลาดใหม่ และคำตอบที่ได้มาในครั้งนั้นคือการรุกตลาดรถเล็ก ราคาถูก จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือการนำรถยนต์จากประเทศมาเลเซีย แบรนด์ นาซ่า ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1100 ซีซี.และจำหน่ายเพียง 349,000 บาท ซึ่งผลการตอบรับหลังจากมีการเปิดตัวก็พบว่ามียอดขายกว่า 500 คัน
การตอบรับที่ดีต่อแบรนด์นาซ่า ทำให้ยนตรกิจกล้าที่รุกตลาดรถราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มาพร้อมกับ 2 แบรนด์จากประเทศจีน ได้แก่ แบรนด์ จีลี่ ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และแบรนด์โพลาร์ซัน ประเภทรถตู้ โดยทั้ง 2 แบรนด์ ถือเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอันดับท้อปเท็นของประเทศจีน ที่มียอดขายสูงทั้งในและต่างประเทศ
“การตัดสินใจนำรถยนต์จากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้น เป็นแผนการที่ได้มีการศึกษามาได้ระยะหนึ่ง และเมื่อมีความพร้อมจึงได้ทำการเปิดตัวสู่ตลาดประเทศไทย ซึ่งในเบื้องต้นได้คัดเลือกเพียงรถยนต์นั่งและรถตู้ เพราะมองว่าตลาดในประเทศยังมีความต้องการสูง และในอนาคตหากตลาดให้การตอบรับที่ดีจะมีการเพิ่มรุ่นรถเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง” อภิวัฒน์ ปรีดายันต์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว
รถยนต์ที่นำมาจำหน่ายในครั้งนี้ ในเบื้องต้นสำหรับแบรนด์จีลี่ ได้นำเข้ามาทำตลาดด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ในรุ่น CK 1.3GS และรุ่น CK 1.5GS เคาะราคาเริ่มต้น 3 แสนกว่าบาท และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งในรุ่นนี้มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มนักศึกษา วัยรุ่น ถือเป็นรถยนต์คันแรก ยนตรกิจตั้งเป้าหมายการจำหน่ายไว้ที่ 1,500 – 2,000 คันภายในปีหน้า
ส่วนแบรนด์โพลาร์ซัน ที่มีทั้งรถตู้ รถมินิแวน และ รถเอ็มพีวี ในเบื้องต้นได้มีการนำรถตู้อเนกประสงค์ มีจำนวน 4 แบบเข้ามาจำหน่าย มีให้เลือกตั้งแต่รุ่น สแตนดาร์ด หรือรุ่นธรรมดาไม่ตกแต่ง ,รุ่นตกแต่งสามารถปรับเบาะได้,รุ่นตกแต่งพิเศษช่วงยาวหลังคาสูง และรุ่นท้อปตกแต่งพิเศษสามารถปรับเบาะให้หมุนได้และเปิดประตูได้สองทาง โดยทั้ง 4 รุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2,237 ซีซี .เคาะราคาเริ่มต้นที่ 599,000 - 759,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายรถยนต์แบรนด์นี้ได้ 1,000 คันภายในปีหน้า
การตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดูสูง อาจจะดูสวนกระแสตลาด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่าตลาดรถยนต์มีแนวโน้มว่าหดตัว แต่ยนตรกิจมองว่า เป้าหมายที่ได้วางไว้นั้นไม่น่าจะพลาดเป้าแต่อย่างใด เนื่องจากมองว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อรถอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าการเลือกซื้อในแต่ละครั้งนั้นจะมีการพิจารณามากขึ้น และหนึ่งในปัจจัยที่มีตัวแปรคือ รถยนต์ที่มีความคุ้มค่าด้านราคา และ การใช้งาน
ดังนั้นการนำเข้ารถจากประเทศจีนโดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กเข้ามาจำหน่ายและเริ่มเปิดตัวสู่ตลาดในราคาประมาณกว่า 3 แสนบาทน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ได้ และเมื่อมองผลตอบรับจากงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ก็พบว่ามีลูกค้าเข้ามาให้ความสนใจรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์มากพอสมควร โดยเฉพาะจีลี่ ที่แม้ว่าจะยังไม่เปิดรับจองแต่ก็มีลูกค้าเข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นและกรอกแบบสอบถามวันละเกือบ 100 คนขณะที่โพลาร์ซันนั้นก็มีลูกค้าให้ความสนใจสอบถามรายละเอียดเป็นจำนวนมาก
แม้จะมองว่าเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคในยุควิกฤต แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลาดรถยนต์นำเข้าที่มาจากจีนนั้น ในสายตาของผู้บริโภคชาวไทยยังคงเข้าใจว่ารถยนต์ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านคุณภาพทางการผลิต และปัญหาทางด้านอะไหล่ ตรงจุดนี้เองส่งผลให้แบรนด์จากประเทศจีนหลายไม่ค่อยประสบความสำเร็จในด้านยอดขายไม่ว่าจะเป็น วู่หลิง หรือแม้กระทั้งรถจักรยานยนต์แพททินั่ม ยนตรกิจมองว่าปัญหาดังกล่าวจะถูกแก้ไขโดยกลยุทธ์ทางการตลาด ผ่านการใช้งานอย่างแท้จริงของลูกค้า และการให้ความรู้ที่ถูกต้อง
เบื้องต้นได้มีการแนะนำรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 25 ณ ชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี ซึ่งหลังจากแนะนำกับลูกค้าให้เป็นที่รู้จักแล้วจะมีการเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่สนใจได้ร่วมขับขี่รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นนำข้อมูลต่างๆที่ได้รับมาช่วยในการตัดสินใจ นอกจากนั้นแล้วยนตรกิจยังเตรียมที่จะสื่อสารแบบอโบฟเดอะไลน์ ผ่านสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร โดยการสื่อสารนั้นจะถูกนำเสนอทั้งในแง่ของการโฆษณาผ่านสื่อ และการให้ผู้สื่อข่าวได้เข้ามาร่วมทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ในรุ่นจีลี่ ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลไปนำเสนอกับผู้บริโภค
ขณะที่การสื่อสารการตลาดของโพลาร์ซัน ในเซ็กเมนท์ของรถตู้นั้น จะไม่เน้นการสื่อสารในระดับ แมสมากเท่าจีลี่ เนื่องจากเป็นรถที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นการทำตลาดจะเน้นหนักไปที่กลุ่มเป้าหมายโดยตรง คาดว่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการซื้อรถรุ่นนี้ไปเพื่อการทำงานจริงจัง หรืออาจเป็นการซื้อเพื่อเป็นรถคันที่ 2 ของบ้าน โดยการทำตลาดในช่วงแรกนั้นจะมีการติดตั้งเครื่องเล่นซีดี,เอ็มพี 3 การติดฟิล์มและอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีแผนโรดโชว์รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นในจังหวัดต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการแนะนำรถและแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้วยังถือเป็นการสำรวจตลาดว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังเป็นการแนะนำตัวเองให้เป็นที่รู้จักกับเครือข่ายจำหน่ายใหม่ๆ โดยอภิวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันช่องทางการขายของแบรนด์จีลี่และโพลาร์ซัน มี 4แห่งคือโชว์รูมสุรวงศ์ ,หัวหมาก,หลักสี่ และรองเมือง
ส่วนการดูแลลูกค้าในต่างจังหวัดนั้นในเบื้องต้นจะใช้เครือข่ายของยนตกิจที่กระจายอยู่ทั่วประเทศและหลังจากที่มีการดีลกับดีลเลอร์รายใหม่ ซึ่งขณะนี้มีผู้ให้ความสนใจมากกว่า60 ราย และยังคงเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจอยากเป็นดีลเลอร์ให้เข้ามาติดต่อกับยนตรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยนตรกิจได้ตั้งเป้าที่จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครบ 20 แห่งภายในปีหน้า และ 40 แห่งภายในปีต่อไป
ส่วนแผนการในปีต่อไปหลังจากที่มีการแนะนำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเตรียมขยายช่องทางการจำหน่ายแล้ว ยังเตรียมที่จะนำรถรุ่นใหม่ๆเข้ามาอีกหลายรุ่น โดยในส่วนของจีลี่นั้น คาดว่าอีก 2 ปีจะมีโอกาสนำเข้ารถรุ่นเล็กในกลุ่มเดียวกับ โตโยต้า ยาริส หรือ ฮอนด้า แจ๊ส เข้ามาจำหน่าย หรือในส่วนของโพลาร์ซันนั้น อาจจะเป็นการนำเข้ารถแบบเอ็มพีวีเข้ามาจำหน่าย ซึ่งกำลังศึกษาความเป็นไปได้
เรียกได้ว่าเป็นการประกาศรบอีกครั้งของค่ายยนตรกิจ หลังจากช่วงที่ผ่านมาอาจจะดูเงียบหายไปบ้าง เนื่องจากมีการหาข้อสรุปของธุรกิจในเครือ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็เตรียมใส่เกียร์เดินหน้าอีกครั้ง และคาดว่าในครั้งนี้น่าจะเป็นการเดินหน้าที่ไม่ถอยอย่างแน่นอน
ส่วนรถยนต์จากแดนมังกรอีกหนึ่งรายที่ได้ทำการตลาดไปก่อนหน้าอย่าง ดีเอฟเอ็ม หรือ ตงฟงมอเตอร์ส เจ้าแห่งรถบรรทุกขนาดใหญ่ของจีน ก็ได้ตัดสินใจเข้ามารุกตลาดในประเทศไทย และมีการแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยให้บริษัทยูเนียนแสงทอง ซึ่งคว่ำหวอดอยู่ในวงการอะไหล่ยานยนต์เป็นผู้ทำการตลาด
พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทดีเอฟเอ็ม มอเตอร์ เซลส์ (ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผยว่า การที่แบรนด์ตงฟงจากประเทศจีนได้เลือกให้บริษัทเป็นผู้นำเข้ารถยนต์จากจีนเข้ามาจำหน่ายนั้น เนื่องจากมีประสบการณ์ในแวดวงยานยนต์มาอย่างยาวนาน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอะไหล่ ประกอบกับความตั้งใจจริงที่จะพาแบรนด์ตงฟงให้มีชื่อเสียงไม่ต่างจากที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วที่ประเทศจีน
ตงฟงมีรถยนต์จำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่นได้แก่ รถปิคอัพขนาดเล็ก ถือเป็น มินิ ทรัค ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1100 ซีซี.มีราคาเพียง 279,000 บาท หรือจะเป็นเครื่องยนต์ 1300 ซีซี. ในราคา 329,000 บาทและรถตู้ห้องเย็น สร้างจากมินิ ทรัค เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ราคา 4.29 แสนบาท นอกจากนั้นแล้วยังมีรถมินิแวน รถบรรทุกตู้ทึบ ขนาดเครื่องยนต์ 1100 ซีซี.ราคา 349,000 บาท ,รถตู้ มินิบัส หรือ มินิ สตาร์ รถตู้ขนาด 7 ที่นั่ง เครื่องยนต์ 1300 ซีซี. สามารถเปิดประตูได้ 2 ด้าน ราคา 439,000 บาท โดยรถทุกแบบมีการติดตั้งถังNGV มาจากโรงงานและมีการรับประกัน 50,000 กิโลเมตร
การเข้ามารุกของตงฟงในครั้งนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะในช่วงระยะเวลาเพียง 4-5 เดือนสามารถทำยอดขายได้เฉลี่ย 150 คันต่อเดือน หรือราว 400 คัน โดยปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเติบโตเนื่องจากรถยนต์มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ประกอบกับการมีพลังงานทางเลือกให้เลือก 2 ระบบทั้งแบบเบนซิน และNGV ทำให้รถได้รับความนิยม โดยคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะสามารถกวาดยอดขายได้ราว 1,000 คัน
อย่างไรก็ตามแม้ในเริ่มแรกการตอบรับจะเป็นไปอย่างดี แต่เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันกลับมาทรงตัว ก็ทำให้ยอดขายหดตัวลงราว 20 % ซึ่งยอดขายที่หดตัวลงทำให้ตงฟงต้องมีการปรับแผนรุก ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่ต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกับผู้บริโภคในวงกว้างทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งการร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์จีนที่มีการออกบู๊ทใหญ่โตและผลจากการออกงานในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ชื่อของตงฟงเป็นที่รู้จักแล้ว พวกเขายังตั้งเป้าหมายยอดขายของรถรุ่นนี้กว่า 500 คัน
สาเหตุที่ทำให้มั่นใจว่าจะได้ยอดขายนั้นก็เนื่องมาจากการเป็นรถราคาถูกที่สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการลดแลกแจกกระหน่ำ ไม่ว่าจะเป็นซื้อคันแถมอีกหนึ่งคัน โดยเมื่อลูกค้าซื้อรถก็จะแถมรถจักรยานยนต์หนึ่งคัน และยังมีของแถมอื่นๆอีกมากมาย นอกจากเหนือจากกลยุทธ์ด้านโปรโมชั่นต่างๆแล้ว ตงฟงยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคด้วยการลงทุนกว่า 500ล้านบาทในการสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการ ปัจจุบันมีโชว์รูมในกรุงเทพจำนวน 4 แห่งได้แก่ ดอนเมืองซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ,รองเมือง,วังหิน และวงค์สว่าง และยังมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัดอีก 11 แห่ง และมีแผนที่จะขยายตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเขตกรุงเทพจะถูกโฟกัสเป็นพิเศษ คาดว่าในปีหน้าจะเปิดไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง
ขณะที่การเพิ่มจำนวนรุ่นรถเข้ามาจำหน่ายในตลาดประเทศไทยนั้นคาดว่าจะมีการนำรถของตงฟงที่มีการผลิตและสามารถใช้ NGV ได้นำเข้ามาจำหน่ายให้ครบทุกรุ่นที่มี นอกจากนั้นแล้วหากพบว่าตลาดมีความต้องการสูงและมีสเกลเกิน 6,000 คัน อาจจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆในประเทศไทย ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นการลงทุนร่วมกันของบริษัทฯและบริษัทแม่ที่ประเทศจีน
ส่วนกลุ่มเป้าหมายต่อไปของตงฟงที่เตรียมจะเน้นทำตลาดเป็นพิเศษนั้น ตงฟงมองว่าเนื่องจากเป็นตลาดที่เฉพาะกลุ่ม เป็นนิช มาร์เก็ต ดังนั้นการทำตลาดจะต้องเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและทำการแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้รถที่ถูกประเภท ในอนาคตนอกจากลูกค้าองค์กรทั่วไปแล้ว ยังมีแผนที่จะรุกตลาดฟลีตของทุกภาคธุรกิจไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ หรือจะเป็นหน่วยงานราชการ โดยคาดว่าปีหน้าจะสามารถทำยอดขายได้ 3,000 คัน
“ ในมุมมองของคนไทยที่ยังมองว่ารถจากจีนหรือสินค้าจากจีนไม่มีคุณภาพ เราก็มีการแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มศูนย์บริการที่พร้อมให้บริการพร้อมทั้งมีการอบรมมาตรฐานการให้บริการที่ไม่แตกต่างจากรถยนต์ค่ายไหนๆโดยศูนย์บริการที่ดอนเมืองมีจำนวน 15 ช่องซ่อม และสามารถขยายได้มากกว่านี้หากมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีช่างเทคนิคจากประเทศจีนที่เข้ามาช่วยดูแล และที่สำคัญมีการสต๊อกอะไหล่ไว้รองรับลูกค้าที่เป็นกังวลเรื่องอะไหล่จะไม่เพียงพอ พร้อมกันนั้นยังมีบริการหลังการขาย มีรถดีเอฟเอ็ม เซอร์วิส ซึ่งเป็นรถบริการเคลื่อนที่คอยให้การบริการเมื่อลูกค้าเกิดปัญหา “พิทยากล่าว
ทั้งนี้รถยนต์จากประเทศจีนเกือบทุกแบรนด์ ในทุกเซ็กเมนท์ เป็นการเจาะเซ็กเมนท์รถยนต์ราคาถูกทั้งหมด และถือเป็นยุทธ์ศาสตร์เดียวกับรถยนต์จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งผ่านมาตลาดรถยนต์ราคาถูกยังกลุ่มลูกค้าอยู่พอสมควร เพราะทั้งโปรตอน และ นาซ่า ต่างทำตลอดขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยโปรตอนนั้นเลือกเปิดตลาดด้วยรถยนต์ขนาดเล็กในรุ่น แชฟวี่ ด้วยราคา 399,000 บาท
หลังจากสามารถทำยอดขายได้พอสมควร ก็มีการเสริมไลท์ผลิตภัณธ์ด้วยรถยนต์กลุ่มรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต์ ทั้งเจนทู และ เพอร์โซน่า แต่ทั้งหมดยังเน้นที่ราคาต่ำ โดยรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น จะมีราคาอยู่ในระดับเดียวกับรถยนต์ขนาดซับคอมแพ็กต์ ซี่งมีขนาดเล็กกว่าจากญี่ปุ่น ซึ่งการสร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธ์ด้านราคายังถือเป็นแนวทางสำคัญของรถยนต์จากมาเลเซีย
การเล่นสงครามราคาของรถยนต์จากจีน ก็น่าจะเป็นวิถีทางเดียวกันในการสร้างแบรนด์รถยนต์ให้เกิดในตลาดเมืองไทย แม้ว่าภาพลักษณ์สินค้าจากประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะติดในเรื่องคุณภาพก็ตาม สำหรับรถยนต์แบรนด์จีนในกลุ่มยนตรกิจนั้น อาจมีภาษีกว่าการรุกตลาดโดยผู้ผลิตจากจีนเอง เนื่องจากมีประสบการณ์ในตลาดรถยนต์มากยาวนาน และมีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริกาค่อนข้างครอบคลุม ไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่
นอกจากนี้กลุ่มยนตรกิจ ยังมีแบรนด์รถยนต์ นาซ่า จากประเทศมาเลเซีย ทำตลาดในกลุ่มรถยนต์ราคาถูกมาก่อน และต้องถือว่าประสบความสำเร็จด้านยอดขายพอสมควร เพราะหลังเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์กลางปีที่ผ่านมาก็สามารถทำยอดขายได้มากถึง 500 คัน และล่าสุดก็ยังสั่งนำเข้าเพิ่มจากมาเลเซียอีกราวๆ 600 คัน
เรียกได้ว่าเวทีการแข่งขันของตลาดรถยนต์ในบ้านเราจะไม่ใช่แค่ค่ายรถจากญี่ปุ่นและจากยุโรป แต่ในวันนี้ค่ายรถจากจีนที่มีการพัฒนาจนได้รับการยอมรับในตลาดโลก และมีการนำเข้ามาจำหน่ายผ่านทางผู้นำเข้าที่มีแนวทางการตลาดที่ชัดเจนและรู้จักสร้างความต่างของตัวสินค้าเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ ซึ่งผลที่แต่ละค่ายต่างมุ่งหวังไว้จะเป็นไปตามที่ได้คาดไว้หรือไม่อย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|