ไทยอาซาฮีเข้าตลาดหุ้น


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

ข่าวเกี่ยวกับการเปิดโรงงานกระจกแผ่นแห่งหนึ่งที่ใช้กระบวนการผลิตแบบโฟลทของกลุ่มปูนซิเมนต์ที่ร่วมทุนกับ บ.การ์เดี้ยนของสหรัฐฯ ยังไม่สรุปแน่ชัดว่าจะได้รับอนุญาตให้เปิดได้หรือไม่จากรัฐบาลไทย แม้นว่าทางกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีคำสั่งห้ามเปิดโรงงานผลิตกระจกแผ่นอีกภายใน 5 ปีก็ตาม แต่ รมต.กรทัพพะรังสี ซึ่งรับผิดชอบทางด้านสำนักงานส่งเสริมการลงทุนก็ยังไม่ยุติเรื่องนี้เสียทีเดียว "ทางเรากำลังรอข้อมูลยืนยันผลการศึกษาและเหตุผลชี้แจงรายละเอียด ตัวเลขความต้องการในอนาคตของฝ่ายการ์เดี้ยน เพื่อจะได้นำมาพิเคราะห์เปรียบเทียบความเป็นไปได้จริง กับทางข้อมูลของบีไอโอและกระทรวงอุตสาหกรรมดู" รมต.กร พูดกับ "ผู้จัดการ" ถึงเหตุผลที่ยังไม่ยุติเรื่องนี้

ทางฝ่ายบริษัทไทยอาซาฮี ซึ่งร่วมทุนระหว่างกลุ่มศรีเฟื่องฟุ้งและพานิชชีวระกับอาซาฮีญี่ปุ่น ทีมีอำนาจผูกขาดการผลิต และการจำหน่ายกระจกภายในประเทศมานาน 23 ปี ได้คัดค้านการเปิดโรงงานใหม่ของการ์เดี้ยนอย่างเต็มที่ โดยยกตัวเลขความต้องการในอนาคตว่าไม่น่าจะเพิ่มมากกว่าที่เคยเป็นมาคือ 7.5%/ปี ขณะที่การ์เดี้ยนยืนยันว่าจะโตมากกว่า 7.5 แน่นอน และจะสูงถึง 15%/ปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า

แม้ว่าเรื่องอนุญาตหรือไม่ในการให้การ์เดี้ยนเปิดโรงงานผลิตกระจกแผ่นเรียบระบบโพลทจะยังไม่ยุติ แต่บริษัทกระจกไทยอาซาฮีก็ได้กระจายหุ้นสู่สาธารณะไปแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยวิธีนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทบุคคลัภย์ ทิสโก้ และคาเธ่ย์ทรัสต์ เป็นผู้จัดการค้ำประกันการจำหน่ายแก่ประชาชน

ไทยอาซาฮีมีทุนจดทะเบียน 660 ล้านบาท เพิ่ม 90 ล้านบาท เป็น 750 ล้านบาท ทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ 80 ล้านบาท (ตามราคาพาร์) ของไทยอาซาฮี ระดมจากประชาชนทั่วไปโดยการขายหุ้นในราคา 135-139 บาท/หุ้น เทียบกับราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท และราคามูลค่าหุ้นตามบัญชี (BOOK VALUE) หุ้นละ 11.62 บาท ส่วนที่เหลือ 10 ล้านบาท ระดมจากผู้บริหาร และพนักงานบริษัทโดยการขายให้ราคา 90 บาท/หุ้น

ขณะนี้ มีการกล่าวกันมากว่า ราคาหุ้นเข้าตลาดของบริษัทต่าง ๆ ที่ขายให้กับประชาชนทั่วไปมีราคาแพงกว่าความเป็นจริงมากหลายเท่าตัว ราคาหุ้นไทยอาซาฮีก็ตั้งไว้ 135-139 บาท เมื่อเทียบกับราคาตามบัญชี 11.62 บาท ก็นับว่าสูงเกือบ 10 เท่าตัว

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะดูแพง หุ้นไทยอาซาฮีก็อาจถูกจัดชั้นเข้าอยู่ในกลุ่มหุ้นยอดนิยมได้เมื่อดูจากความเหมาะสมด้านปัจจัยพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FACTER) ครึ่งปีแรกของปีนี้ทางบริษัทได้แถลงว่า ผลการประกอบการมีกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 300 ล้านบาท เทียบกับทุนจดทะเบียน 660 ล้านบาท (ยังไม่นับรวมกำไรสะสม) อัตราผลตอบแทนต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก

แหล่งข่าวในวงการธุรกิจหลักทรัพย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า เหตุผลหนึ่งที่สำคัญในการขายหุ้น 9 ล้านหุ้นหรือคิดตามราคาพาร์ 90 ล้านบาทนี้ ก็เพื่อบริษัทจะนำรายได้จากการขายหุ้นซึ่งจะได้ประมาณ 1,170 ล้านบาทมาลบล้างหนี้สิ้นที่บริษัทมีต่อแหล่งเงินกู้ทั้งภายในและภายนอกประเทศจำนวน 900 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.