แม้จะเป็นผู้ผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกรายใหญ่สุดของเมืองไทยที่มีอายุยาวนานกว่า
50 ปี แต่ปัญจพลไฟเบอร์ หรือเรียกกันในวงการด้วยชื่อเก่าว่า "เฮี่ยงเซ้ง"
กลับไม่ค่อยมีข่าวคราวออกมาสู่สาธารณชนมากเท่าไรนัก ห้าเสี่ยแห่งตระกูล เตชะวิบูลย์
พอใจที่จะเก็บเนื้อเก็บตัวทำงานกันเงียบ ๆ ไม่ต้องให้ใครมารับรู้เรื่องราวของตัวเอง
"พวกนี้เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าคุยกับนักข่าว" คนในปัญจพลไฟเบอร์เย้ากันเล่น
ๆ ถึงความเงียบของเฮี่ยงเซ้ง
ถ้าอธิบายกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ความเงียบของเฮี่ยงเซ้งก็เป็นพฤติกรรมปกติของธุรกิจครอบครัวของคนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
ซึ่งไม่สู้จะยินดีนักกับการเป็นข่าว ไม่ว่าข่าวดีหรือข่าวไม่สู้ดีก็ขอเงียบไว้ก่อน
อีกประการหนึ่งนั้น การทำกล่องกระดาษลูกฟูกเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในวงกว้างโดยตรงเหมือนสินค้าประเภทอื่น
ๆ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องทำตัวให้เป็นที่รู้จักมาก
การเซ็นสัญญาค้ำประกันและกู้เงินระหว่างปัญจพลไฟเบอร์กับธนาคารพาณิชย์ห้าแห่งเมื่อเดือนที่แล้ว
จึงเป็นการเปิดตัวกันเป็นครั้งแรกของกลุ่มนี้และเหมือนเป็นการแง้มประตูให้เห็นกันนิด
ๆ หน่อย ๆ ว่าในความเงียบนั้นมีความเคลื่อนไหวอยู่
สัญญาที่ลงนามกันในวันนั้นเป็นสัญญาสนับสนุนทางการเงินที่ธนาคารกสิกรไทย
กรุงไทยทหารไทย นครหลวงไทยและศรีนครกับบริษัทปัญจพล พัลพ์อินดัสตรี้ และบริษัทปัญจพลเปเปอร์
อินดัสตรี้ ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้ เป็นบริษัทใหม่ในเครือปัญจพลที่เพิ่งจะตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนแห่งละ
300 ล้านบาท
ปัญจพลพัลพ์ อินดัสตรี้ เป็นบริษัทผลิตเยื่อกระดาษแบบฟอกไม่ขาว ทั้งชนิดใยยาว
จึงใช้ชิ้นไม้สับที่สั่งเข้ามาจากต่างประเทศเป็นวัตถุดิบ และชนิดใยสั้นที่ใช้ไม้ไผ่และยูคาลิปตัสเป็นวัตถุดิบ
มีกำลังผลิตวันละ 250 ตันต่อวันหรือ 90,000 ตันต่อปีสูสีใกล้เคียงกับโรงงานที่น้ำพองของฟินิกซ์
พัลพ์แอนด์เพเพอร์ที่เป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้
เยื่อกระดาษที่ผลิตโดยโรงงานนี้ และเศษกระดาษเก่า จะเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตกระดาษคราฟท์ของบริษัทปัญจพล
เปเปอร์ อินดัสตรี้ ซึ่งวางแผนจะผลิตออกมาวันละ 840 ตันหรือปีละ 270,000
ตันกระดาษคราฟท์ที่ได้จะป้อนให้ปัญจพล ไฟเบอร์ คอมเทนเนอร์สำหรับผลิตกล่องกระดาษลูกฟูก
ปัญจพลนั้นมีโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์อยู่แล้วที่สมุทรสาคร ซึ่งมีกำลังการผลิตปีละ
280,000 ตัน การตั้งโรงงานใหม่ขึ้นก็เพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น
และเพื่อส่งไปขายยังต่าประเทศส่วนหนึ่งด้วย
ทั้งสองโรงงานตั้งอยู่ที่อยุธยาและจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2535 ซึ่งจะทำให้ปัญจพล
ไฟเบอร์สร้างเครือข่ายการผลิตที่ครบวงจรได้ตั้งแต่การผลิตเยื่อกระดาษ การผลิตกระดาษคราฟท์
และการทำกล่องกระดาษลูกฟูก ทั้งยังอยู่ในระหว่างการตระเตรียมโครงการปลูกป่ายูคาลิปตัสเพื่อป้อนให้กับโรงงานเยื่อกระดาษด้วย
เรื่องที่ได้รับความสนอกสนใจเป็นพิเศษในวันนั้น เป็นเรื่องของแหล่งเงินทุนที่ทำให้โครงการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษคราฟท์เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
"การกู้เงินครั้งนี้เป็น SYNDICATION ที่มีจำนวนเงินมากที่สุดเท่าเคยทำกันมาในภาคเอกชน
มีเงินให้เปล่ามากที่สุดและดอกเบี้ยถูกที่สุดด้วย" กรรณิการ์ เลิศขันติธรรม
ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชีของปัญจพล ไฟเบอร์เปิดเผยถึงจุดเด่นในการกู้เงินครั้งนี้
วงเงินกู้ที่มีการเซ็นสัญญากันในวันนั้นคือ 5,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินลงทุนของทั้งสองโครงการ
โครงการผลิตเยื่อกระดาษของปัญจพล พัลพ์อินดัสตรี้ ใช้เงินลงทุน 2,902 ล้านบาท
ส่วนโครงการผลิตกระดาษคราฟท์ของปัญจพลเปเปอร์อินดัสตรี้ใช้เงิน 2,400 ล้านบาท
ซึ่งรวมเอาเงินสำหรับสร้างโรงไฟฟ้าไอน้ำแรดงันสูงมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในโครงการและใช้ไอน้ำจากโรงไฟฟ้านี้ในการทำเยี่อกระดาษและอบกระดาษคราฟท์ให้แห้งด้วย
แหล่งเงินกู้ใหญ่มาจากสามแหล่งด้วยกันคือ EXIM BANK ของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลแคนาดาซึ่งปล่อยเงินผ่าน
EXPORT DEVELOPMENT CORPORATION หรือ EDC ที่เป็นรายเดียวกับที่ให้เงินกู้กับกลุ่มลาวาลินในโครงการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
และธนาคารไทย 5 แห่งที่เข้าร่วมลงนามในวันนั้น
EXIM BANK ให้เงินกู้จำนวน 62 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,581 ล้านบาท
สำหรับซื้อเครื่องจักรในโครงการผลิตชำระคืน 15 ปีในอัตราดอกเบี้ย 7.4 เปอร์เซ็นต์
จำนวนเงิน 62 ล้านเหรียญสหรัฐนี้เป็นเงินให้เปล่า 40% หรือ 633 ล้านบาท
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินเปล่าที่รัฐบาลสหรัฐฯให้กับรัฐบาลไทยจัดสรรเองตามนโยบายสนับสนุนการส่งออก
"ดร.สุพจน์ เป็นคนไปติดต่อกับทางสหรัฐฯก่อน ซึ่งพอดีทาง EXIM BANK
มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อสำหรับการส่งออกอยู่แล้ว" แหล่งข่าวซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธนาคารไทยที่ให้กู้เปิดเผย
ดร.สุพจน์ คนนี้ก็คือ สุพจน์ เตชะวิบูลย์ เสี่ยคนสุดท้องในบรรดาห้าเสี่ยของเตชะวิบูลย์ผู้มีดีกรีการศึกษาในระดับปริญญาเอกวิศวอุตสาหกรรมทางด้านป่าไม้จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
และเป็นรองกรรมการผู้จัดการของสองบริษัทใหม่ช่วยเหลือพี่ชาย "ซาเสี่ย"
สุรพงษ์ เตชะวิบูลย์ กรรมการผูจัดการบริหารงานการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษคราฟท์
นอกเหนือไปจากความเชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมป่าไม้ จนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการปลูกป่าเพื่อป้อนโรงงานเยื่อกระดาษ
แล้วสุพจน์คนนี้ยังเป็นมือหนึ่งทางด้านกาเรงินของกลุ่มปัญจพลด้วย
EXIM BANK ปล่อยเงินจำนวนนี้ผ่านกระทรวงการคลังซึ่งใช้ธนาคารกรุงไทยเป็นกลไกผ่านเงินไปยังกลุ่มปัญจพลอีกทีหนึ่ง
โดยที่กรุงไทยก็เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 62 ล้านเหรียญนี้ด้วย
สำหรับเงินจากแคนาดานั้นมีจำนวน 78 ล้านเหรียญแคนาดาหรือประมาณ 1,794 ล้านบาทดอกเบี้ย
8.3% มีกำหนดชำระคืน 20 ปี โดยเริ่มชำระตั้งแต่ปีที่ 11-20 ระยะเวลาปลอดหนี้
3 ปี 35 เปอร์เซ็นต์ของเงินกู้นี้คือประมาณ 600 ล้านบาทเป็นเงินกู้ที่ไม่คิดดอกเบี้ย
เงิน 600 ล้านบาทที่ต้นทุนเท่ากับศูนย์กับระยะเวลา 10 ปีที่ยังไม่ต้องชำระคืน
บวกกับเงินส่วนที่นอนอยู่เฉย ๆ หลังหักส่วนที่ต้องคืนในระหว่างปีที่ 11-20แล้ว
เป็นโจทก์ที่เชื่อกันวาคนอย่างสุพจน์ที่ว่ากันว่าช่ำชองในการทำให้เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าออกดอกออกผลไม่แพ้ความเชี่ยวชาญในการปลูกป่า
คงจะมีวิธีหาคำตอบที่จะทำให้เงิน 600 ล้านบาทนี้มีค่าเสมือนหนึ่งเงินได้เปล่าเป็นแน่
เงินกู้จาก EDC นี้เป็นเงินสำหรับซื้อเครื่องจักรในโครงการผลิตเยื่อกระดาษ
การติดต่อทาบทามแหล่งเงินกู้รายนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่ทาง EDC ตกลงปล่อยเงินให้ทางกลุ่มปัญจพลเรียบร้อยแล้ว
ทาแคนาดารู้เรื่องก็เลยติดต่อโดยตรงมาที่กลุ่มปัญจพล
แน่นอนว่า ประโยชน์และความเป็นไปได้ของโครงการผลิตเยื่อกระดาษเป็นแรงจูงใจให้
EDC เข้ามาสนับสนุนทางด้านการเงิน แต่แรงผลักดันที่สำคัญอีกประการหนึ่งแยกไม่ออกจากความพยายาม
เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแคนาดา
โดยใช้ EDC เป็นกลไกสำคัญตัวหนึ่ง
เงื่อนไขข้อหนึ่งของ EDC สำหรับการให้กู้เงินครั้งนี้คือต้องให้รัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน
แต่เนื่องจากเป็นการปล่อยกู้ให้เอกชน รัฐบาลจึงไม่สามารถค้ำประกันให้ได้
EDC เลยเปลี่ยนเงื่อนไขให้กลุ่มปัญจพลมหาธนาคารระหว่างประเทศชั้นนำมาเป็นผู้ค้ำประกันแทน
โดยลำพังกลุ่มปัญจพลเองไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปหาธนาคารที่มีคุณสมบัติที่ว่ามาค้ำประกันได้
ณรงค์ ศรีสอ้าน กรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโสธนาคารกสิกรไทยคือผู้มีส่วนสำคัญในการจัดการเรื่องนี้
กสิกรไทยในตอนแรกนั้นเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็เพราะรู้ว่าธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ค้ำประกันปัญจพลให้กับ
EXIM BANK เลยติดต่อขอเข้าไปร่วมค้ำประกันด้วย พอปัญจพลต้องการผู้ค้ำประกันอีกรายหนึ่งสำหรับเงินกู้จาก
EDC ณรงค์ก็เลยอาสาหาให้
ผู้ค้ำประกันเงินกู้ EDC ที่ณรงค์ติดต่อเจรจามาได้สำเร็จก็คือ ธนาคารไดอิชิ
คังโย ธนาคารญี่ปุ่นที่มีสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แนบแน่นกับกสิกรไทยมาเป็นเวลานานแล้ว
และธนาคารกสิกรไทยก็เป็นคนค้ำประกันปัญจพลให้กับไดอิชิคังโยอีกทีหนึ่ง หลังจากั้นแล้วรรงค์ก็ขยายบทบาทของกิสิกรไทยขึ้นเป็น
INVESTMENT BANKER ให้กับโครงการเยื่อกระดาษและกระดาษคราฟท์อย่างเต็มตัวในบทบาทของผู้ประสานงานและผู้จัดการหาเงินกู้สำหรับโครงการ
เงินกู้ที่เป็นเงินบาทของสองโครงการนี้มีเพียง 1909 ล้านบาทเท่านั้น โดยกสิกรไทยและกรุงไทยปล่อยเงินกู้ให้ในสัดส่วนแบงก์ละ
35% ที่เหลืออีก 30% แบ่งเท่า ๆ กันระหวางทหารไทย ศรีนคร่และธนาคารนครหลวงไทย
1,144 ล้านบาทเป็นเงินสำหรับก่อสร้างโรงงานที่อยุธยาอีก 765 ล้านบาทใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเมื่อโรงงานเสร็จแล้ว
โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราโพร์มเรท
แหล่งเงินกู้ที่มีความเป็นไปได้อีกรายหนึ่งคือ LENDER BANK ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลออสเตรียที่ให้เงินกู้
100 เปอร์เซ็นต์สำหรับเครื่องจักรที่ใช้การผลิตกระแสไฟฟ้า
"ตอนนี้ยังเป็นเพียง OPTION หนึ่งเท่านั้น" กรรณิการ์ เปิดเผยเพราะขึ้นอยู่กับทางกลุ่มปัญจพลว่าจะซื้อเครื่องจักรจากซัพพลายเออร์ประเทศไทย
ซึ่งในขณะนี้มีการเสนอเข้ามาหลายรายด้วยกัน
รวมระยะเวลาในการติดต่อเจรจาหาแหล่งเงินกู้ครั้งนี้เป็นเวลาหนึ่งปีเศษ
ๆ นับเป็นความสำเร็จของปัญจพลที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
เทียบกันกับการตั้งโรงงานเยื่อกระดาษของฟินิคซ์พัลพ์เมื่อสิบปีที่แล้วที่กว่าจะวิ่งเต้นหาผู้สนับสนุนทางการเงินได้
ผู้ก่อตั้งก็เกือบจะเลิกล้มความตั้งใจแล้ว โครงการของปัญจพลเริ่มต้นด้วยความราบรื่นสดใสกว่าอย่างมาก