หั่นภาษีนิติบุคคลเหลือ25%-"สุชาติ"ฟุ้งสูญแค่หมื่นล้าน


ผู้จัดการรายวัน(2 ธันวาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

รมว.คลังเสนอแผนการปรับโครงสร้างภาษีทุกประเภทต่อคณะรัฐมนตรีวันนี้ ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 25% พ่วงต่ออายุภาษีอสังหาฯ แต่เพิ่มภาษีสรรพสามิตเบียร์และสิ้นเดือนนี้ภาษีน้ำมันที่เคยอุ้มลิตรละ 1-2 บาท จะกลับมาจ่ายปกติ พ่วงด้วยการเข็นหวยออนไลน์ดูดเงินชาวบ้าน หักลบแล้วงานนี้รัฐสูญรายได้ไม่เกินหมื่นล้าน ด้านพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อ พ.ย.โต 2.2% ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (2 ธ.ค.) จะเสนอแผนการปรับโครงสร้างภาษีทุกประเภทต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกอบด้วย การปรับลดภาษีนิติบุคคลจากเดิม 30% เหลือ 25% ตามข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ปีละ 40,000 ล้านบาท แต่สร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจและบรรเทาการเลิกจ้างงาน พร้อมขยายเวลามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุดเดือน มี.ค.52 ออกไปอีก 1 ปี ในการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจากเดิม 3.3% เหลือ 0.1% ลดค่าจดทะเบียนการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคงต้องรอสักระยะ เพราะเมื่อช่วงเดือน มี.ค.51 ก็มีการลดหย่อนไว้แล้ว จะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 52 ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% นั้นเป็นอัตราที่ต่ำกว่าทั่วโลกแล้ว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะมีการปรับขึ้นภาษีและดำเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อหารายได้ทดแทน ได้แก่ ภาษีเบียร์ พร้อมผลักดันโครงการหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยออนไลน์ เข้า ครม. จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มอีก 13,000-14,000 ล้านบาท และสิ้นเดือนนี้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เคยอุ้มลิตรละ 1-2 บาท ตามแผน "6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทย" ได้กลับมาเป็นอัตราปกติแล้ว คาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลสูญเสียรายได้สุทธิประมาณ 10,000 ล้านบาท เท่านั้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะช่วยเหลือภาคเอกชน ภายใต้มาตรการภาษีจะเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ในส่วนของเงินเดือนพนักงานที่บริษัทส่งไปฝึกอบรม โดยให้เพิ่มวงเงินหักค่าลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งปัจจุบัน กรมสรรพากรกำหนดวงเงินหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายค่าฝึกอบรมพนักงานได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง ส่วนเงินเดือนพนักงานถือเป็นค่าใช้จ่ายจริงของบริษัทตามปกติ แต่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับเงินเดือนพนักงานที่บริษัทส่งไปฝึกอบรมจะหักเป็นค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 เท่า ตามจริง เป็น 1.5 เท่า

นายสุชาติกล่าวว่า ได้เสนอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ลดเหลือ 20% แต่นายกฯ บอกว่ามากเกินไป จึงเห็นว่าภาษีนิติบุคคลควรจะเหลือ 25% ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะสม สำหรับการบริหารประเทศต่อจากนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยืนยันจะยังคงเป็นไปตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งจากเศรษฐกิจเติบโตต่ำก็อาจเป็นไปได้ที่การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลจะต่ำกว่าเป้า แต่จะพยายามไม่ให้เกิดขึ้น ส่วนการขาดดุลก็จะไม่ให้เกิน 4 แสนล้านบาท ขณะที่การสร้างความเชื่อมั่นจำเป็นมาก แต่เมื่อปัญหาเกิดจากการเมืองก็ต้องแก้ที่การเมือง

เงินเฟ้อ พ.ย. 2.2% ต่ำสุดรอบ 14 เดือน

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนพ.ย. เท่ากับ 121.5 เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2550 สูงขึ้น 2.2% แต่เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว และเฉลี่ยช่วง 11 เดือนแรกของปี 2551 (ม.ค.-พ.ย.) สูงขึ้น 5.9%

ทั้งนี้ เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ที่สูงขึ้น 2.2% นั้น เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง และขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน นับจากเดือนก.ย.2550 ที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 2.1%

สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนพ.ย.2551 ลดลง เนื่องจากสินค้าในหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 2.9% เป็นอัตราลดลงมากกว่าเดือนต.ค.ที่ลดลง 1.9% สินค้าที่ลดลงสำคัญ คือ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง 17.1% ค่าโดยสาธารณะประจำทางลดลง 3.3% แต่สินค้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันปรับขึ้น 0.6% อาทิ ผงซักฟอก น้ำผ้าปรับผ้านุ่ม แชมพู ค่าแต่งผมชาย เป็นต้น

ขณะที่สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1% สวนทางกับเดือนต.ค.ที่ติดลบ 0.2% สินค้าที่มีราคาสูง ได้แก่ ผักสดสูงขึ้น 17.7% ทั้งผักคะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักบุ้ง ต้นหอม มะนาม นมและผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น 0.6% น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชอกโกเลตเพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนสินค้าที่ราคาลดลงอาทิ ผลไม้สด ข้าว น้ำมันพืช

“ถ้าเดือน ธ.ค. เงินเฟ้อยังอยู่ที่ระดับ 2.2% เหมือนเดือน พ.ย. เงินเฟ้อทั้งปีไม่น่าจะถึง 6% เพราะคำนวณดูแล้วจะอยู่ในระดับ 5.6-5.9% เท่านั้น แต่จะอยู่ช่วงไหน ต้องดูน้ำหนักระหว่างหมวดอาหารและเครื่องดื่มว่าอันไหนจะเพิ่มขึ้นมากน้อยกว่ากัน”นายศิริพลกล่าว

นายศิริพลกล่าวว่า สำหรับเป้าหมายเงินเฟ้อในปี 2552 กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะอยู่ในระดับ 2.5-3.5% บนสมมุติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ย 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 35-36 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวได้ประเมินผลโดยรวมการสิ้นสุดการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลลงไปแล้ว ซึ่งผลจากการสิ้นสุดมาตรการจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1%

“นักวิชาการอาจพูดบนความสุขที่ประเมินเงินเฟ้อในปีหน้าติดลบ และประเมินบนปัจจัยที่แตกต่างกัน ซึ่งนักวิชาการอาจมองราคาน้ำมันที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่กระทรวงพาณิชย์มองที่ 60-70 เหรียญ/บาร์เรล และเราเอาอัตราแลกเปลี่ยนมาคิดคำนวณด้วย จึงมีมุมมองที่แตกต่างกัน และยังเชื่อว่าเงินเฟ้อปีหน้าจะขยายตัวในระดับ 2.5-3% คงไม่ติดลบ”นายศิริพลกล่าว

นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ปีหน้าเชื่อว่าแรงกดดันในด้านราคาสินค้าคงไม่มี ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อขยายตัวไม่รุนแรง เพราะขณะนี้น้ำมันได้ปรับตัวลดลง วัตถุดิบต่างๆ ได้ปรับตัวลดลง และเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ โอกาสที่สินค้าจะปรับเพิ่มขึ้นราคาคงทำได้ยาก โดยแรงกดดันทางด้านราคาสินค้าที่จะมีต่อเงินเฟ้อ ก็คงมีแค่ผักและผลไม้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ราคาสินค้าเป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริง กรมฯ จะติดตามสินค้าที่มีต้นทุนลดลง โดยจะขอให้มีการปรับราคาลดลงตามด้วย และล่าสุดได้ขึ้นบัญชีอาหารสำเร็จรูปเป็นสินค้าอ่อนไหว เพราะหลังจากที่กรมฯ ได้ขอความร่วมมือให้ปรับลดราคาลง ก็มีบางรายที่ตอบรับ แต่บางรายไม่ตอบรับ ซึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ รวมทั้งเชิญให้ผู้ประกอบการมาหารือเป็นรายๆ เพื่อขอให้มีการปรับลดราคาลง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.