เสนอทบทวนบทบาทผู้บริหารTSFC


ผู้จัดการรายวัน(2 ธันวาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแกนประสานผู้ถือหุ้น เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ "TSFC" พร้อมเสนอทบทวนบทบาทกรรมการและทีมผู้บริหาร หลังทุ่มเงินลงทุนในหุ้นสูงเกินไปจนวิกฤต ด้านสมาคมบลจ.รับลูก ก.ล.ต. แยกส่วนการลงทุน B/E ของ "TSFC" ออกจากการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นแล้ว แจงผู้ลงทุน หลังรับชำระเงินคืน จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืน ด้านบลจ. ออกมาย้ำความมั่นใจ กองทุนเปิดซื้อ-ขายได้ทุกวัน ไม่ติดบ่วง TSFC ขณะที่ "เอวายเอฟ" แจงลูกค้ากองปิดหายห่วง ได้รับคืนหนี้แน่นอน

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ในเรื่องการพิจารณาการเพิ่มทุนและแผนธุรกิจในอนาคตด้วย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการทำหน้าที่เป็นแกนในการประสานงานกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆในการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของTSFC

ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีความกังวลในส่วนของกองทุนฟื้นฟูถือที่ถือหุ้นในTSFCในสัดส่วน 28%ที่จะไม่สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ เพราะการที่กองทุนฟื้นฟูเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนดังกล่าว ในส่วนของสินทรัพย์ของกรมบังคับคดีที่ได้รับ ภายหลังจากการปิดกิจการของบริษัทเงินทุน 56 แห่งในช่วงวิกฤตการเงิน

สำหรับปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ถือหุ้นในTSFCสัดส่วน 5% ซึ่งหากมีผู้ถือหุ้นรายใดไม่ใช้สิทธิเพิ่มทุนตลาดหลักทรัพย์พร้อมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแต่เท่าไรนั้นยังไม่สามารถตอบได้ เพราะ จะต้องรอดูผลว่าจะมีผู้ถือหุ้นใช้สิทธิเท่าไร และจะมีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาซื้อหรือไม่

“ผู้ถือหุ้นรายอื่นเท่าที่ได้หารือก็พร้อมจะเข้ามาถือทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ และโบรกเกอร์รายอื่น รวมถึงกระทรวงการคลัง แต่ว่าในส่วนของกองทุนฟื้นฟูนั้น คงต้องพยายามให้ผู้ถือหุ้นเดิมช่วยและหาผู้ถือหุ้นรายอื่นเข้ามาเพิ่ม หากเหลือหุ้นเพิ่มทุนที่จะเสนอขายไม่มากก็ ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ยินดีจะให้การช่วยเหลือ แต่ทั้งนี้ต้องเห็นความพยายามจากฝ่ายอื่น ๆ ด้วย”นางภัทรียา กล่าว

นางภัทรียา กล่าวว่าภายหลังจากการดำเนินการเพิ่มทุนแล้วเสร็จคงจะต้องมีการทบทวนถึงกรรมการและทีมผู้บริหารของทีเอสเอฟซีด้วย และทางTSFC จะต้องมีการทบทวนในเรื่องการลงทุนเพราะ จากการที่มีปัญหาในครั้งนี้ เพราะ TSFC มีการลงทุนที่มีความเสี่ยงที่สูง โดยลงทุนในหุ้นสัดส่วนที่สูงเกินไป ทำให้เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาก ทำให้ได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ หากTSFC มีการลงทุนไม่มาก เมื่อบริษัทมีปัญหาในเรื่องการปล่อยมาร์จิ้น แต่หากพอร์ตการลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยงก็สามารถที่จะขายเงินลงทุนดังกล่าวมาสนับสนุนในการปล่อยมาร์จิ้นทำให้ไม่ได้รับความเสียหายเหมือนปัจจุบัน

สมาคมบลจ.รับลูก ก.ล.ต

รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้สั่งการให้ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) นำส่งแผนการเพิ่มทุนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณา ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ยังมีความเป็นกังวลต่อแผนการเพิ่มทุนดังกล่าวนั้น สมาคมเห็นว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย TSFC สมาคมจึงเห็นควรให้บริษัทสมาชิกพิจารณาดำเนินการให้ กองทุนเปิดที่สามารถไถ่ถอนได้ในระหว่างทางในลักษณะที่ไม่ใช่ auto redemption ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC ดำเนินการแยกส่วนการลงทุนที่เป็นตราสารหนี้ของ TSFC ออกจากการลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ กองทุนรวมไว้ต่างหาก (set aside) โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อกองทุนรวมดังกล่าวได้รับชำระเงินคืนก็จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามส่วนให้เฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน ณ วันที่ได้ทำการ set aside ซึ่งเป็นวันที่บริษัทสมาชิกจะไม่นำการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC ไปรวมในการคำนวณ NAV ของกองทุนรวม

ดังนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนรวมจึงไม่ต้องเป็นกังวลหรือตื่นตระหนกกับการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการแยกการลงทุนที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุนไว้ต่างหาก และเมื่อได้รับชำระเงินคืนก็จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามส่วนต่อไป

ในด้านการดำรงสถานะของ TSFC คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้สั่งการให้ TSFC ทำการเพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด ในจำนวนที่ไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้ส่งรายละเอียดของแผนที่แสดงถึงผู้ที่พร้อมจะลงทุนหรือให้กู้ยืมแบบไม่มีเงื่อนไขต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2551 ซึ่งสมาคมเป็นว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูงและมีความเป็นไปได้ที่ TSFC จะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด ชี้แจงว่า ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 กองทุนตราสารหนี้ของบริษัทฯ ที่สามารถทำการซื้อขายได้ทุกวัน รวมทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ของบริษัทฯ มิได้มีการถือครองตราสารหนี้ของ TSFC แต่อย่างใด นอกจากนี้ บลจ.เอวายเอฟยังย้ำว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนปิดและกำหนดอายุการลงทุนชัดเจน ขณะนี้ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งผู้ลงทุนที่ลงทุนอยู่จะได้รับชำระคืนแน่นอน

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนรวมทุกกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทไม่ได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC แต่อย่างใด ดังนั้น เราจึงไม่ต้องดำเนินการแยกส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC หรือที่เรียกว่าวิธีการ set aside โดยหลักการลงทุนในตราสารหนี้ บลจ.บัวหลวง จะเน้นเรื่องความปลอดภัยของเงินต้นมากกว่าเรื่องผลตอบแทนสูงที่มีความเสี่ยงสูงตามมา และจะลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ที่รัฐบาลหรือกองทุนฟื้นฟูค้ำประกัน ซึ่งหากเป็นตราสารหนี้เอกชนก็ต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่ามาตรฐาน คือ ต้อง A- ขึ้นไปเท่านั้น

นอกจากมีอันดับความน่าเชื่อถือเพียงพอแล้ว เรายังมองถึงสถานภาพของบริษัท โอกาสทางธุรกิจและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย ซึ่งหลายบริษัทที่ยังมีอันดับความน่าเชื่อถือดี แต่มีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นในอนาคตและอาจส่งผลเสียหายต่อเงินลงทุน เราก็จะไม่ลงทุนอย่างเด็ดขาด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.