ยุโรป1992:ประตูแห่งโอกาสค่อยๆปิดลง


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

"ยุโรป 1992"……….คำเรียกที่คุ้นหูกันมาหลายปี…..เป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาล เพราะตัวเลขข้อเท็จจริงที่ฟ้องตัวมันาเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้บริโภคซึ่งเมื่อ 12 ชาติสมาชิกอีซีรวมตัวกันอย่างแท้จริงแล้ว จะเป็นพลังมหาศาลมากกว่า 330 ล้านคน ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมซับซ้อนแล้ว ยังมีอำนาจซื้อสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นตลาดมหึมาที่สุดในโลกไปทันที

เพราะยุโรป 1992 นีเองที่ทำให้ทั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทต่าง ๆ สถาบันภาครัฐบาล และสถาบันการเงินในทั่วโลกวิ่งแข่งกันขาแทบขวิด ต่างต้องการเข้าไปมีส่วนในการจับจองให้ได้อยู่ในตำแหน่งที่ท้าทายความเป็นตลาดร่วมหนึ่งเดียวกันนี้

SANTHANAM C. SHEKAR MARTIN และ PYYKKONEN สองที่ปรึกษาประจำ "ARTHUR D. LITTLE" บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารและเทคโนโลยีชั้นนำแห่งของโลก สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเคมบริดจ์, แมสซาชูเซ็ทท์, สหรัฐอเมริกา ได้ให้ภาพรวมการแข่งขันของทุกค่ายสำคัญทั่วโลกไว้ว่า

- ญี่ปุ่นนั้นคันพบยุโรป 1992 แล้วอย่างแท้จริง เห็นได้จากกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม (มิติ) กำลังขะมักเขม้นร่วมมือกับอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจาะสู่ตลาดยุโรปโดยตรง โดยเฉพาะการสำรวจเข้าสู่ตลาดอีซีทางประตูหลังให้ได้

" กลุ่มประเทศในเครือจักรภพอย่างอินเดียและออสเตรเลียก็พยายามหาหนทางเข้าถึง"

ตลาดร่วมยุโรปทางอ้อม โดยมีอังกฤษเป็นตัวกลางเข้าร่วมกับทั้งสองฝ่าย

" ออสเตรียและนอร์เวย์ก็กำลังพิจารณาจะกระโจนเข้าตลาดอีซีเหมือนกัน ขณะที่ฟิน"

แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ กลัวเหมือนกันว่า ถ้าปล่อยให้อีซีกลายเป็นตลาดร่วมเดียวกันอย่างแท้จริงโดยปราศจากพวกตนเข้าร่วมแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

" ค่ายรัสเซียและกลุ่มประเทสสนธิสัญญาวอร์ซอก็เข้าหากลุ่มประเทศอีซี เพื่อได้มีส่วน"

ร่วมในการค้าครั้งสำคัญของยุโรปตะวันตกด้วย ซึ่งข้อตกลงทางการค้าระหว่างเยอรมนีตะวันออกหวังประโยชน์มหาศาลจากตลาดร่วมที่กำลังจะเกิดขึ้น

การที่บริษัทไหนจะสร้างสรรค์กลยุทธ์อะไรไว้รองรับยุโรป 1992 ได้มากแค่ไหนนั้นไม่มีข้อ

จำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่องค์ประกอบเรื่อง "เวลา" เท่านั้นที่บีบบังคับอยู่ เพราะประตูแห่งโอกาสที่เปิดรับอยู่เวลานี้จะเริ่มปิดตัวเองลงจนกว่าจะถึงปี 1992 หรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ

เมื่อถึงเวลานั้น พวกที่ยังละล้าละลังก็ต้องเผชิญหน้ากับการรวมตัวเป็นพันธมิตร กับตลาดร่วม และกับกำแพงที่กั้นสูงขึ้นเพื่อกีดกันการเข้าสู่ตลาดร่วมที่ว่าอย่างช่วยไม่ได้

การจะรีบเข้าไปจับจองตำแหน่งที่ให้ได้ก่อนประตูจะเริ่มปิดลงนั้น ธุรกิจต่างชาติต้องรีบลงมือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาและแผนงานบริหารของยุโรปให้ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างง่าย ๆ จากเยอรมนีตะวันตกเพียงประเทศเดียวรัฐบาลกำลังอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายยกเลิกการเก็บภาษี 50% จากกำไรที่ทำได้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้านี้

ARTHUR D. LITTLE จึงประเมินว่า ผลจากกฎหมายนี้มีบริษัทเยอรมนีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง 5,000 บริษัทซึ่งล้วนแต่เป็นธุรกิจครอบครัว กำลังแสวงหาหนทางขายกิจการของตนและหวังสร้างกำไรมหาศาลจากการนี้

ซึ่งกิจการที่มีคุณภาพส่วนใหญ่จะถูกบริษัทขนาดใหญ่กว่าเข้าซื้อเพื่อก่อตั้งเป็นพันธมิตรรายใหม่ให้ได้ก่อนปี 1992 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ผลกระทบที่จะเกิดกับอุตสาหกรรมอเมริกันจะสูงมาก ทั้งในแง่ของยุทธศาสตร์และการดำเนินงาน

ต่อไปนี้เป็นแนวโน้มและเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่มีส่วนในการกำหนดโฉมหน้าและบรรยากาศการแข่งขันในยุโรป…

ยุโรปกำลังต่อสู้เพื่อความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน

บรรดาบริษัทยุโรปซึ่งในอดีตได้รับการปกป้องและดำเนินนโยบายอนุรักษนิยมมาโดยตลอดกำลังตรวจสอบการดำเนินงานของตัวเองเสียใหม่ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่แข่งขันได้ด้วยความแข็งแกร่งขึ้น มีอยู่มากเหมือนกันทีเลือกวิธีเข้าจับมือกับคู่แข่งและลูกค้า เพื่อตั้งกิจการร่วมทุนและพันธมิตรทางยุทะศาสตร์ข้ามทวีป

แต่เดิมมามองกันว่า บริษัทที่มีรูปแบบร่วมทุนเป็นกิจการที่ทำให้ต้องดำเนินการผลิตสินค้าด้วยต้นทุนสูงลิ่ว แต่ปัจจุบันบริษัทยุโรปจำต้องหันมายอมรับวิธีนี้อีกครั้งหนึ่ง

เกิดยักษ์ใหญ่รายใหม่ของยุโรปมากขึ้น

ระหว่างปี 1985-1987 ตัวเลขการผนวกกิจการในกลุ่มอีซีด้วยกันสูงขึ้นราว 50% ทำให้เกิดบริษัทยุโรปด้วนอิเล็กทรอนิกส์อาวุธยุทโธปกรณ์ โทรคมนาคม ธนาคาร อาหาร และบริการด้านสื่อมวลชนน้อยรายลง แต่ขนาดใหญ่ขึ้น อาทิ…

ปี 1987 "ธอมสัน" บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของฝรั่งเศสซื้อแผนกสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ของ "ธอร์น-อีเอ็มไอ" แห่งอังกฤษ และซื้อแผนกคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ของ "เจเนอรัลอิเล็กทริก" แลกเปลี่ยนกับแผนระบบการแพทย์ของตน

หรือในช่วงไม่กี่ปีมานี้ "เดมเลอร์ - เบนซ์" แห่งเยอรมนีตะวันตกก็สยายปีกอย่างเงียบ ๆ จนในที่สุดผงาดขึ้นเป็นกลุ่มธุรกิจด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีรายใหญ่สที่สุดของประเทศ ด้วยการกว้านซื้อกิจการ "เออีจี" "โมโตเรนแอนด์ ทรานส์-ฟอร์มาโทเรน ยูเนียน" (เอ็มทียู), "ดอร์เนียร์" และหุ้นใหญ่ของ "เมสเซอร์ชมิด-โบลโคว์บลอม" (เอ็มบีบี)

"ราคัล" ของอังกฤษก็อยู่ในระหว่างซื้อกิจการ เพื่อสร้างกลุ่มธุรกิจสื่อสารข้อมูลจากฐานบริษัทขนาดเล้กถึงขนาดกลางทั่วทวีปยุโรป

และในปลายปี 1988 ยักษ์โทรคมนาคม "ซีเมนส์" ของเยอรมนีตะวันตกและ "จีอีซี" แห่งอังกฤษจับมือกันร่วมเสนอซื้อกิจการ "เพลสซีย์" ยักษ์ด้านโทรคมนาคมอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษ

…ข่าวลักษณะนี้จะมีให้เห็นต่อไปอีกเรื่อย ๆ

การผนวกกิจการก็ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะในทวีปยุโปรด้วยกันเท่านั้น ค่ายยุโรปกำลังรุกเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างหนักหน่วง เห็นได้จาก 1988 ปีเดียว ยุโรปเข้าซื้อบริษัทในอเมริการวมแล้วเป็นมูลค่า 33,000 ล้านดอลลาร์ เกือบ 3 เท่าของมูลค่าที่ค่ายญี่ปุ่นเข้าซื้อบริษัทอเมริกันเสียอีก

ดูง่าย ๆ ที่ชื่อ "เบอร์เทลส์มานน์" ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีตะวันตกที่ทำกิจการทั้งด้านสื่อมวลชนและสำนักพิมพ์ แต่นักธุรกิจอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้มาก่อน จนกระทั่งในรอบ 5 ปี หลังนี้เองที่เบอร์เทลส์มานน์เดินเกมรุกหนัก เข้าซื้อกิจการบริษัทแผ่นเสียง "ดับเบิ้ลเดย์" และ "อาร์ซีเอ" รวมทั้งกิจการประเภทเดียวกันนี้อีกหลายแห่ง กลายเป็นพี่เบิ้มแห่งธุรกิจบริหารด้านสื่อมวลแบบครบวงจรไป

ปี 1988 นี้เช่นกันที่ "ซีเมนส์" ซื้อแผนก "เบนดิกซ์" ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ของ "อัลลายด์-ซิกนอล" ด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์

เกิดกิจการเน้นแทรกช่องว่างทั่วยุโรป

ทั้งบริษัทขนาดเล็กและกลางของยุโรปตระหนักดีว่า ต่อไปพวกเขาไม่อาจอยู่รอดได้ ถ้าคิดหวังพึ่งเฉพาะส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศเท่านั้น และหลังจากปี 1992 ไปแล้ว พวกเขามีทางเลือกเพียงว่า จะเติบโตต่อไปและกระโจนเข้าแข่งขันทั่วยุโรป หรือไม่ก็อยู่เผชิญกับความตกต่ำอย่างถึงที่สุดเมื่อเสียเปรียบในเชิงแข่งขันทุกรูปแบบ

การผนวกกิจการระหว่าง "ซีเอพีกรุ๊ป" บริษัทให้บริการด้านคอมพิวเตอร์ชั้นำของอังกฤษกับ "ซีมา-เมตร้า" ของฝรั่งเศสซึ่งทำกิจการคล้ายคลึงกันเป็นข้อพิสูจน์ที่ยืนยันว่า บริษัทเล็ก ๆ ในยุโรปก็กำลังปรับตัวขนานใหญ่ เพื่อให้อยู่ในฐานะผู้ได้เปรียบด้านการแข่งขันมากขึ้น

ในอนาคตอันใกล้นี้ การผนวกหรือซื้อกิจการหรือร่วมทุนระหว่างบริษัทยุโรปด้วยกันและคนละทวีปจึงจะทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยุทธศาสตร์นี้ทำให้บริษัทขนาดเล็กและกลางแข่งขันในช่องว่างของตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และตะวันออกไกลได้มีประสิทธิภาพขึ้น

เกิด "เถ้าแก่" ยุโรปเต็มไปหมด

กิจการประเภท VENTURE CAPITAL ที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับกระตุ้นความเติบโตทางอุตสาหกรรมแขนงที่มีความสำคัญที่สุดของกลุ่มอีซี อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม บริการการเงินและคมนาคม ปัจจุบันทั้งในเยอรมนีตะวันตกและอังกฤษก็มีสวนอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีซึ่งมีกิจการ VENTURE CAPITAL เป็นแหล่งเงินทุนรวมทั้ง MINI-SILICON VALLEYS เกิดขึ้นแล้วมากมาย

เงินทุนมีทิศทางหมุนเวียนสู่ภายในยุโรปมากขึ้น

ถ้าสถาบันการเงินยอมรับ ธุรกิจยุโรปต้องประสบความสำเร็จมากขึ้นและมีการแข่งขันมากกว่าอดีตที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าเงินทุนจากทั่วโลกอาจถูกผันเข้าสู่ประชาคมยุโรปมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ว่า เงินทุนมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายสู่ภูมิภาคที่เป็นที่ยอมรับว่ามีอัตราการเติบโตสูงและมีผลตอบแทนต่อการลงุทนดีมาก

นอกเหนือจากนี้ นโยบายลดความเข้มงวดด้านการธนาคารและการลงทุนในอีซี ก็จะเป็นองค์ประกอบที่เอื้ออำนวยต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนทุกรูปแบบระหว่างพรมแดนของประเทศ ปัจจุบันจึงมีประเทศอีซีหลายแห่งกำลังพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีบริษัทใหม่เหมือนอย่างที่อังกฤษทำไปเมื่อปี 1987

ในภาครวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า บริษัทที่กำลังแสวงโอกาสในยุโรปจำเป็นต้องวางแผนเดินเกมอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้ตนอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบทั้งด้านการแข่งขัน การตอบสนอง และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

และพึงจำไว้เสมอว่า ในท้ายที่สุดแล้วการรวมตัวระหว่างกันจะออกมาในรูปแบบใดก็แล้วแต่ ยุโรปทศวรรษ 1990 ก็ต้องถูกเปลี่ยนโฉมหน้าและบรรยากาศทางธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง

รวมทั้งต้องไม่ลืมว่า ตอนนี้ประตูแห่งโอกาสยังเปิดกว้างอยู่ก็จริง แต่เวลาที่เหลืออยู่นั้นน้อยเต็มที่ จึงถือเป็นภาระและหน้าที่ของฝ่าบริหารระดับสูงที่ต้องรีบฉกฉวยผลประโยชน์ให้ได้สูงสุดจากเวลาที่เหลือนี้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.