"ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ "นกบินสูงได้เอง…อาจไม่มีลมส่ง?"


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ต้องนับว่าเป็นความกล้าหาญของ ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ ที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารนครหลวงไทย เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2530 ยอมทิ้งตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการเบอร์ลี่ยุคเกอร์ ทั้งที่ถ้าอยู่ต่อไปโอกาสที่จะได้เป็นหมายเลขหนึ่งของที่นี่ก็อยู่ไม่ไกล เทียบกับธนาคารนครหลวงไทยที่มียอดขาดทุนเฉพาะปี 2529 พันกว่าล้านบาท มีหนี้เสีย ๆ อีกกว่าหกพันล้าน กับปัญหาเรื้อรังอีกมากมายที่สะสมอยู่ภายใต้การบริหารที่ล้าหลังไร้ประสิทธิภาพ การเข้ามาบริหารธนาคารแห่งนี้ต้องเรียกว่า "มาล้างบาง"

ธนาคารนครหลวงไทยเมื่อต้นปี 2530 ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มมหาดำรงค์กุลนั้น มีอาการเพียบหนักจนธนาคารชาติต้องยื่นมือเข้าจัดการ ก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2529 มีคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยให้เพิ่มทุนครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่เป็นผล วันที่ 12 มกราคม 2530 ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีคำสั่งให้ลดทุนจดทะเบียนจาก 800 ล้านบาทเหลือเพียง 40 ล้านบาท ทำให้มูลค่าหุ้น 100 บาทเหลือเพียงหุ้นละ 5 บาท เพื่อนำส่วนที่ลดนี้ไปตัดยอดขาดทุนสะสมออก และให้เพิ่มทุนใหม่อีก 1,500 ล้านบาทพร้อมทั้งเปลี่ยนตัวผู้บริหารด้วย

ตอนนั้นยังไม่มีวี่แววว่า ดร. สมจะมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ถึงแม้จะมีชื่ออยู่ในสายตาของธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับอีกหลาย ๆ คน ผู้ที่มาแรงกว่าเพื่อนคือ ศุกรีย์ แก้วเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แต่ศุกรีย์ก็ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนี้ จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกผู้บริหาร จึงมีการพูดถึง ดร. สมว่าจะมาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่

มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดร. สมเข้ามาด้วยการผลักดันของกลุ่มเฟิสท์แปซิฟิคของเลียม ซุยเหลียงแห่งอินโดนีเซียซึ่งต้องการจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจการเงิน กลุ่มเฟิสท์แปซิฟิคมีหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทเฮเกอร์เมเยอร์ของเนเธอร์แลนด์ เฮเกอร์เมเยอร์เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญรายหนึ่งของเบอร์ลี่ยุคเกอร์ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะมายืนยัน

ตัว ดร. สมเองบอกว่า ที่ทำก็เพราะว่าอยากจะทำเท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นงานที่มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

เมื่อ 27 ปีก่อน ดร. สม เคยทำงานแบงก์มาครั้งหนึ่งแล้วหลังจากจบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ทำอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ลาออกเพื่อสอบชิงทุน ก.พ. ไปเรียนเมืองนอก สอบได้แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายจึงมาทำงานกับเบอร์ลี่ยุคเกอร์ อีก 6 ปีต่อมาก็ได้ทุนฟุลไบรท์ไปทำปริญญาโททางบริหารธุรกิจและปริญญาเอกทางการเงินที่นิวยอร์ค แล้วกลับมาทำงานที่เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จนได้เป็นกรรมการรองผู้จัดการ

วันที่ 23 มีนาคม 2530 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นธนาคารนครหลวงไทยได้มีมติให้ ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยได้รับเงินเดือน ๆ ละ 500,000 บาท โบนัสประจำปี 5 เดือน และค่าตอบแทนอีก 2% ของกำไรในแต่ละปี อายุการทำงานมีกำหนด 5 ปี

งานชิ้นแรกของ ดร. สมคือการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 500 ล้านบาทตามเงื่อนไขของแบงก์ชาติที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 3,500 ล้านบาท มีระยะเวลา 5 ปีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคาร พร้อม ๆ กับการปรับองค์กรและโครงสร้างการบริหารมีการโยกย้ายคนของผู้บริหารเก่าออกจากตำแหน่งสำคัญ ๆ การจัดระบบการบริหารหนี้สินและสินเชื่อ และการเดินสายออกเยี่ยมสาขา และลูกค้าต่างจังหวัด การเพิ่มทุนเป็นไปตามเป้าหมายทำให้ทุนจดทะเบียนเป็น 2,040 ล้านบาทและยังมีแผนจะเพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาทภายในปีนี้

ตามแผนแล้วในปี 2532 ธนาคารนครหลวงไทยจะเริ่มมีกำไร

จากวันที่ ดร. สมเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในวันที่ 1 พฤษภาคมจนถึงวันนี้ดูเหมือนการทำงานจะเป็นไปตามแผนอย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่มีข่าวความขัดแย้งหรือปัญหาปรากฏออกมา แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าทุกอย่างราบรื่น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.