บริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด (ทวพ.) เป็นสำนักพิมพ์ผลิตตำราเรียนที่เก่าแก่กว่า
50 ปีและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย อิทธิพลของ ทวพ. นั้นแทรกซึมอยู่ในแบบเรียนเกือบทุกเล่ม
ทุกระดับชั้น จนทุกคนยอมรับว่า ทวพ. นั้นคือ เจ้าพ่อแห่งวงการตำราเรียนที่มีมูลค่าปีหนึ่งนับพันล้านบาท
แต่การเติบโตของ ทวพ. ก็ชะลอตัวลงมากในช่วง 10 ปีหลังที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น การเปลี่ยนหลักสูตรในแต่ละครั้ง ทำให้สำนักพิมพ์คู่แข่งอื่น ๆ เช่น
อักษรเจริญทัศน์ วัฒนาพานิช สามารถตีกระหน่ำ ทวพ. จนคนในวงการรู้ดีว่า ทวพ.ซวนเซเป็นอันมาก
แต่จุดสำคัญที่ทุกคนรู้คือ ปัญหาแท้จริงของ ทวพ.นั้นอยู่ที่การบริหารแบบครอบครัวของตระกูล
"ต.สุวรรณ"
บุญธรรมและบุญพริ้ง ต.สุวรรณ มีลูกชาย 3 คน คือ วีระ, พีระ และธีระ สองคนแรกบริหารงานอยู่ที่สำนักพิมพ์ที่ถนนไมตรีจิต
ส่วนคนสุดท้องคุมโรงพิมพ์ที่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นโรงพิมพ์ที่ใหญ่และทันสมัยแห่งหนึ่ง
"ผู้จัดการ" เคยเขียนถึง ทวพ.มาครั้งหนึ่งเมื่อฉบับเดือนกรกฎาคม
2531 โดยกล่าวถึงประวัติความเป็นมาและปัญหาของทวพ.จนจบลงที่การกลับมาของวีระ
พี่ชายคนโต หลังจากที่หายสาบสูญไปจาก ทวพ. เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ขณะนั้น วีระกล่าวกับคนใกล้ชิดทุกคนว่า
เขาจะกลับมาฟื้นฟู ทวพ. ให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง
แต่สิ่งที่วีระไม่ยอมกล่าวถึงเลย คือ บทบาทและอำนาจของเขากับน้องชาย คือ
พีระ จะแบ่งสรรกันอย่างไร เพราะทั้งคู่มีตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเหมือนกัน
และนั่นคือจุดศูนย์กลางของปัญหาที่สั่นสะเทือนองค์กรอันเก่าแก่อย่าง ทวพ.
ทุกวันนี้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็น "ภาคสอง" ของ ทวพ. ที่ "ผู้จัดการ"
จำเป็นต้องกล่าวถึง
ความขัดแย้งของพี่น้องสองคน คือ วีระ และพีระนั้น ดำรงอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว
หลายคนยอมรับว่า วีระเป็นคนเก่งในการทำธุรกิจ เขากล้าได้กล้าเสีย ทุ่มเทเอาจริงเอาจัง
แต่ค่อนข้างใจร้อนและเอาแต่ใจตัวมาก ๆ ตรงข้ามกับน้องชายคือพีระที่คนในแวดวงผู้รู้จักยอมรับว่า
เป็นคนเก่งเช่นเดียวกัน แต่ใจเย็น ประนีประนอม ออกจะเกรงใจคน ชอบทำงานแบบพี่แบบน้องจนบางครั้งไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด
เมื่อวีระกลับมาที่ ทวพ. เมื่อกลางปีที่แล้ว หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป
วีระกลับมากุมอำนาจได้เด็ดขาดในฝ่ายขายในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจของตลาดหนังสือเรียนฝ่ายผลิตและฝ่ายวิชาการ
และครองพื้นที่ชั้น 1, 3 และ 4 ของ ทวพ. มีพนักงานในสังกัด 100 กว่าคน ขณะที่พีระจากที่เคยกุมอำนาจทุกส่วนก็ลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยดูแลแค่ฝ่ายขายในต่างจังหวัด มีพนักงานในสังกัดประมาณ 30 คนนั่งคุมเชิงอยู่ชั้น
2 ขณะเดียวกันความขัดแย้งของพี่น้องทั้งคู่ก็ถึงขั้นตึงเครียดขนาดหนัก
หลักฐานของความขัดแย้งนั้นปรากฏออกมาทางประกาศในสำนักพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ที่ทยอยไม่ขาดระยะ
ดังเช่นประกาศฉบับหนึ่งที่วีระเป็นผู้เขียน
"เพื่อป้องกันการบุกรุกแทรกแซง ยุแหย่ และวิธีการสกปรกทั้งปวง จากคนในพื้นที่
"แดงอันตราย" โปรดกรุณาดังนี้ ห้ามพนักงานทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนหรืองานในพื้นที่
"แดงอันตราย" เข้าไปใช้พื้นที่เด็ดขาด นับตั้งแต่บัดนี้ สำหรับพนักงานที่ต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องห้ามตามหน้าที่ย่อมทำได้
แต่ต้องขออนุญาตก่อนทุกครั้ง ห้ามคนที่สังกัด "แดงอันตราย" ใช้พื้นที่ชั้น
1, 3 และ 4 เด็ดขาด ยกเว้นทางผ่านและเข้าออก ผู้ใดละเมิดจะถือว่าผู้นั้นจงใจฝ่าฝืน"
คำว่า "แดงอันตราย" ระบุชัดเจนถึงพนักงานในพื้นที่ชั้น 2 ซึ่งพีระนั่งทำงานอยู่นั่นเอง
!
ในประกาศอีกฉบับ วีระกล่าวถึงคนใน "แดงอันตราย" ว่า "เจ้าหัวหน้าแดงอันตรายมีสิ่งเดียวในหัวใจ
สิ่งนั้นคือ ผลประโยชน์ และผลประโยชน์คือการกำจัดผู้ขัดขวางผลประโยชน์ ผลประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น
คือ ความยุติธรรมสำหรับพวกแดงอันตราย มันสามารถจะทำจารกรรมและวินาศกรรมได้ทุกเมื่อ
เพื่อผลประโยชน์ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฟ้องร้องต่อศาล มีแน่นอนโอกาสเท่านั้นที่พวกมันรอคอย-"
วีระไม่ค่อยถูกกับพนักงานบางส่วน เขาเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงขั้นชกต่อยกับพนักงานขายคนหนึ่ง
"ธรรมเนียมอย่างหนึ่งของ ทวพ. คือ พนักงานเกือบทุกคนจะมีงานพิเศษ ซึ่งหลายครั้งงานพิเศษที่ว่านี้ก็กลายเป็นงานประจำไปก็มี
ซึ่งคุณวีระแกไม่ชอบมาก ส่วนเรื่องวิทวาทกันนั้นเป็นเรื่องที่คุณวีระไปขอข้อมูลเกี่ยวกับการขายจากลูกน้องเก่าของแก
ลูกน้องคนนั้นของแก ลูกน้องคนนั้นเกิดไม่ยอมให้อ้างว่า เป็นข้อมูลลับก็เลยมีเรื่องมีราวกัน"
แหล่งข่าวกล่าว
วีระเริ่มระบบให้คอมมิชชั่นกับพนักงานที่ ทวพ. ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งบางคนยอมรับว่า
เป็นวิธีการที่ดี เป็นแรงกระตุ้นให้พนักงานทำงานเพื่อบริษัทมากขึ้น ผิดกับสมัยพีระที่ต้องการขายแบบพี่
ๆ น้อง ๆ ซึ่งล้าสมัยและไม่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้
ล่าสุดเมื่อปลายเดือนสิงหาคม วีระกับพีระมีเรื่องกันถึงขั้นโรงพักว่ากันว่าวีระโกรธพีระมากด้วยสาเหตุไม่ชัดเจน
วีระคว้าปืนไปจ่อขมับพีระและกระแทกที่เหนือคิ้วพีระจนเลือดอาบ เรื่องยุติแค่นั้นเมื่อพีระยอมจำนน
แต่ไปเป็นความกันต่อที่ สน.พลับพลาไชย
แหล่งข่าว กล่าวว่า เรื่องทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องธรรมดาของพี่น้องคู่นี้
แต่ครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงมาก บางคนกล่าวว่า ความขัดแย้งครั้งนี้อาจเป็นเพราะเรื่องที่ดิน
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า คุณนายบุญพริ้งกว้านซื้อไว้เยอะมาก ในหลายจุดของกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัดเฉพาะที่บางปะกง อาจมีกว้างขวางถึง 1,500 ไร่
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว วีระออกประกาศมาอีกฉบับ "ขอประกาศดัง ๆ ว่า
ถ้าภรรยาหรือสมาชิกในครอบครัวของข้า หรือภรรยาของพนักงาน ทวพ.ถูกทำร้าย อ้ายหมาจิ้งจอกทั้งฝูงจะต้องรับผิดชอบ"
รอยร้าวใน ทวพ.นั้น รุนแรงยากที่จะประสานแล้ว !?
กุญแจของเรื่องราวใน ทวพ. ทั้งหมดมีด้วยกัน 3 คน คือ วีระ ซึ่งดูเหมือนว่า
เขาจะไม่ลดราวาศอกเป็นแน่ โดยอ่านได้จากประกาศที่เขาออกมา สอง - พีระ ผู้เป็นน้องชาย
"ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคุณพีระถึงเงียบ ๆ เฉย ๆ ไม่ตอบโต้ บางคนบอกว่า
แกต้องการให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทั้งที่แกอาจจะออกมาตั้งบริษัทเต็มตัวเมื่อไรก็ได้
เพราะทุกวันนี้แกก็มีบริษัทขายเครื่องคอมพิวกราฟฟิก ซึ่งกิจการค่อนข้างดีมาก
ๆ แกหันไปทำธุรกิจของแกเองหรือแยกตัวเองออกมาเป็นเอกเทศก็ได้ แต่แกไม่ทำ"
คนนอก ทวพ. กล่าวอย่างสงสัย
แต่กุญแจสำคัญที่สุดอยู่ที่คุณนายบุญพริ้ง แม่ผู้ให้กำเนิดพี่น้องทั้งสอง
คุณนายบุญพริ้งอายุเกือบ 70 ปี ไป ทวพ.ทุกวัน และยังถืออำนาจเด็ดขาดใน ทวพ.
ตามระบบครอบครัว คุณนายบุญพริ้งตระหนักถึงความขัดแย้งของลูกชายทั้งสองดี
แต่คุณนายก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไร คุณนายยังเชื่อว่า ลูกของเธอทั้งสองจะประนีประนอมกันได้ในช่วงปลายของชีวิตเธอ
แต่ในที่สุดเมื่อกลางเดือดกันยายนที่ผ่านมา คุณนายบุญพริ้งก็ประกาศให้พนักงานใน
ทวพ. ทราบโดยทั่วกันว่า ต่อไปนี้พีระจะไม่มาทำงานใน ทวพ. อีกต่อไป ซึ่งนั่นหมายความว่า
วีระได้เข้ายึดุมอำนาจใน ทวพ. อย่างเด็ดขาดแล้ว แต่คุณนายก็ไม่ได้อธิบายต่อไปว่า
พีระไปทำงานอะไร หรือดูแลกิจการอื่นใดของตระกูล "ต.สุวรรณ"
แหล่งข่าว กล่าวว่า จุดหักเหที่พีระไม่กลับเข้ามาทำงานใน ทวพ. อีกเป็นเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทครั้งล่าสุดนั้นเอง
การกลับเข้าไปนั่งใน ทวพ. อีกอาจไม่ค่อยปลอดภัยนัก นอกจากนั้นสิ่งที่ตามมาอีกก็คือ
รายการล้างบางพนักงานในส่วนที่พีระเคยควบคุม ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักและข้างใน
ทวพ. คงต้องระส่ำระสายพอดู แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่า วีระอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คนในวงการตำราเรียน กล่าวว่า ทุกวันนี้ ทวพ. อยู่ได้ด้วยปัจจัยสองประการ
คือ ความเชื่อถือในหมู่ครูอาจารย์ต่อชื่อเสียงของ ทวพ. ที่สะสมมาเป็นเวลานาน
สอง - คุณภาพของหนังสือที่ยังเป็นที่ยอมรับในตลาดว่า หนังสือของ ทวพ. มีคุณภาพ
โดยเฉพาะหนังสือภาษาอังกฤษ แต่ในใจของทุกคนรู้ดีว่า ทวพ.นั้นหยุดอยู่กับที่เป็นเวลานานมากทีเดียว
จนอาจจะกลายเป็นความล้าหลังที่คนข้างในอาจจะคาดไม่ถึง
คนในวงการการศึกษา กล่าวถึง ทวพ.ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า คุณูปการที่
ทวพ.มีต่อวงการศึกษาไทยนั้นมีมากมายมหาศาล แต่อนาคตของ ทวพ. เป็นสิ่งที่น่าห่วงใย
ตราบใดที่คุณนายบุญพริ้งยังไม่ตัดสินใจแก้ไขความขัดแย้งที่มีอยู่ให้หมดสิ้นก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่สำคัญก็คือ คงไม่มีใครอยากเห็นอาณาจักร ทวพ. ต้องสลายไปทีละเล็กทีละน้อยจนเหลือแต่ตำนานที่ไม่มีใครพูดถึงอีกต่อไป
ภายใต้ความขัดแย้งที่ซับซ้อนอยู่ใน ทวพ. ห้วงเวลานี้คือ ช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกบทหนึ่งของสำนักพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
แต่กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่า ทวพ.บริหารกันมาด้วยระบบครอบครัวที่ผูกรัดด้วยความรักความผูกพันของคุณนายบุญพริ้ง
ทุกสิ่งไม่มีอะไรตายตัวในอดีต วีระเคยหายไป พีระมาแทน วันนี้พีระเป็นฝ่ายอำลาและวีระกลับมาอีกครั้ง
วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง คุณนายบุญพริ้งเท่านั้นที่จะบอกกับทุกคน
!