|
ตลาดทุนทรุดต่ำสุดไตรมาส1/52
ผู้จัดการรายวัน(21 พฤศจิกายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน ชี้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำสุดไตรมาส 2/52 ด้านตลาดหุ้นแย่สุดไตรมาส1/52 พร้อมแนะนักลงทุนเก็บหุ้นช่วงนี้ถึงกลางปีหน้า ได้ผลตอบแทนสูงหากถือยาว 3-5 ปี ด้านบล.ภัทร แนะนักลงทุนจับตา 3 ปัจจัย “ราคาสินทรัพย์สหรัฐยุโรป – การเติบโตเศรษฐกิจจีน - การเมืองไทย” หวั่นยิ่งส่งผลร้ายมากขึ้น ด้านเลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ แจงเศรษฐกิจไทยปีหน้าไปรอดแม้โต 2.5-3% กำไรบจ.ลดลง 5% จากปีนี้ กำไรรวม 5 แสนล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าว ภายในงานสัมมนาเรื่อง “วิกฤตโลกครั้งใหม่ : เศรษฐกิจและหุ้นไทยไปรอดหรือไม่” วานนี้ (20 พ.ย.) ว่า ขณะนี้ปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ได้ผ่านมาแล้วครึ่งทาง ซึ่งประเมินจากมูลค่าความเสียหายที่สถาบันการเงินสหรัฐมีการตั้งสำรอง 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐและมีการเพิ่มทุนเข้ามาแล้ว 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารกลางของประเทศต่างๆได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินต่างๆ และข่าวได้ได้ออกมาแล้วถึง 80-90% เชื่อว่าข่าวร้ายยังคงมีออกมาอีกไม่มาก
“ผมประเมินว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำสุดในไตรมาส 2/52 แต่ตลาดหุ้นนั้นจะรับรู้ผลกระทบก่อนข่าวร้ายจะปรากฏประมาณ 4-6 เดือน ดังนั้นคาดว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวต่ำสุดในไตรมาส 1/2552 ซึ่งราคาหุ้นไทยขณะนี้มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี 1 เท่า ถือว่าต่ำกว่าในช่วงวิกฤตปี 40 ที่มี 1.2 เท่า หากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่จุดต่ำสุดนั้นจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี หากถือลงทุนได้นานถึง 3-5 ปี”
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP.oฐานะนายสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า หุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง 40% ทำให้มูลค่าหุ้นเหลือ 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากปี 2550 ที่มี 60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มหุ้นทั่วโลกจะยังคงปรับตัวลดลงอีก แต่ไม่น่ารุนแรง แต่การที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้นจะต้องใช้เวลานานจากปัญหาวิกฤตการเงินได้ลุกลามไปสู่ภาคธุรกิจที่แท้จริง
ทั้งนี้ จะต้องรอให้ผลกระทบจากภาคธุรกิจที่แท้จริงให้นิ่งก่อนจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงนี้ถึงกลางปี 52 ซึ่งนักลงทุนที่มีเงินเหลือหากต้องการซื้อหุ้นก็ควรที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ถึงกลางปีหน้าแต่จะต้องทยอยเข้าไปซื้อ และถือหุ้นในระยะยาวเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูง เพราะ เข้าซื้อหุ้นขณะนี้ถือว่าซื้อต่ำกว่าผู้ก่อตั้ง และมีการซื้อขายต่ำกว่า บุ๊กแวลู และกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังคงมีกำไรดีอยู่
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA เปิดเผยว่า บล.ภัทร คาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโต 3.3% จากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวภาคส่งออกและภาคการผลิตลดลงจากต่างประเทศประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งประชาชนมีสินทรัพย์ที่ลดลง 20% ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าลดลง โดยในช่วง 1-2 เดือนนี้ภาคการผลิตต่างๆคำสั่งซื้อสินค้าจะลดลงอย่างมาก โดยต่ำสุดในไตรมาส4ปีนี้ถึงปีหน้า โดยคาดว่าส่งออกของไทยปีหน้าจะโต 7% ลดลงจากปีนี้ที่มีการเติบโต 19%
ทั้งนี้ การที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรงมากทั้งที่สถาบันการเงินไทยไม่ได้มีปัญหาเนื่องจาก นักลงทุนต่างประเทศมีการกู้เงินมาซื้อหุ้น และเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหาทำให้ต้องรีบขายหุ้นออกไปเพิ่มสภาพคล่องโดยที่ไม่สนใจในเรื่องราคาหุ้น และจากการที่หุ้นไทยมีขนาดเล็กและยังคงมีปัญหาในเรื่องปัจจัยทางการเมืองนั้น ทำให้ต่างชาติจะยังไม่เข้ามาซื้อหุ้น
อย่างไรก็ตามการที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแรงนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน แต่ควรที่จะถือในระยะยาว 3 ปี จากปัญหาที่เกิดในสหรัฐและยุโรปจะทำให้เศรษฐกิจประเทศดังกล่าวตกต่ำเป็นเวลานาน โดยจากสถิติในเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะลดลง 1 ปี ซึ่งจะอยู่ที่ระดับจุดต่ำสุด 2-3 ไตรมาส และกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ 1 ปี แต่จากปัญหาในปีนี้มีความรุนแรงมากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่จุดต่ำสุด 8 ไตรมาสและจะค่อยปรับตัวสู่ภาวะปกติปี 2553
สำหรับปัจจัยลบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตาม 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 ราคาสินทรัพย์ของสหรัฐและยุโรป ว่าจะมีการหยุดตกต่ำเมื่อไร เพราะ อสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐยังคงปรับลดลงต่ำเนื่อง และภาคธุรกิจโรงแรม และบริษัทธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าขายที่ราคาต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับธนาคารพาณิชย์ จากที่เป็นผู้ปล่อยกู้ และจากการที่ราคาหุ้นของซิตี้แบงก์มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)เหลือ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มีทุนถึง 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาร์เกตแคปต่ำว่าทุนถึง 2 เท่า ซึ่งแสดงว่าสินทรัพย์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีก จากมาร์เกตแคปที่ปรับตัวลดลงไปรอ
ปัจจัยที่ 2 เศรษฐกิจจีนจะมีการเติบโตได้ถึง 8.5% หรือไม่ เพราะ การที่นักวิเคราะห์ประเมินเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโต 2% นั้นเศรษฐกิจจีนต้องมีการโตที่ระดับ 8.5% แต่จากการที่ประเทศจีนมีการสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงจำนวนมากนั้น จึงทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจีนจะโตถึงระดับดังกล่าวได้ และปัจจัยที่3ในเรื่องการเมืองภายในประเทศเพราะขณะนี้มีข่าวออกมาต่อเนื่อง มีการขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มพันธมิตรฯจะมีการนัดชุมนุมครั้งใหญ่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับเมืองไทยวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ทำให้ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวยากว่าจะเป็นทิศทางใด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลก ปีหน้าเศรษฐกิจทั้งโลกจะโตไม่เกิน 2 %แต่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2.5-3% ซึ่งถือว่ามีการเติบโตที่ดี บจ.มีกำไรดีอยู่แม้จะปรับตัวลดลง 5% จากปีนี้ที่มีกำไรรวม 5 แสนล้านบาท
“ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะไปรอดจากที่มีการเติบโตที่ดีอยู่ บจ.ก็ยังมีกำไร แต่หุ้นอาจมีการปรับตัวลดลงมาก ”นายสมบัติกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|