KBANKหั่นเป้าสินเชื่อตามจีดีพี บัณฑูรชี้ต้มยำกุ้งช่วยไทยรอดวิกฤตโลก


ผู้จัดการรายวัน(20 พฤศจิกายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

"บัณฑูร ล่ำซำ" ชี้วิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ในระดับสากลถือว่ารุนแรงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ไทยมีประสบการณ์ทำให้ไม่ถึงขั้นล้ม แต่แค่เซ ระบุส่งออกยังไปได้โดยเฉพาะภาคการส่งออกอาหาร ส่วนปัญหาด้านการเมืองในที่สุดแล้วจะมีทางออกได้เอง ด้านแบงก์ลดเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อลงเหลือ 6-7% จากเดิม 10-16% ตามภาวะเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลง ล่าสุดประกาศนำเครือธนาคารกสิกรไทยสู่ยุคใหม่อีกครั้ง มุ่งเป็นธนาคารที่พร้อมสรรพสำหรับให้คำปรึกษา พัฒนาหลากบริการ

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือKBANK เปิดเผยว่า วิกฤตโลกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีความรุนแรงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งและเท่าที่ได้พบกับนักลงทุนในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ เนื่องจากตื่นเช้ามาทุกอย่างเป็นศูนย์ ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ต่างจากตอนที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย คือตายเร็วกว่า ปลดคนงานก็เร็ว ซึ่งปีนี้ต้องถือว่าเป็นคริสต์มาสของความโศกเศร้าของซีกโลกตะวันตก และคิดว่าปัญหาจะยังไม่จบ

"ผลกระทบต่อประเทศไทยถ้าจะบอกว่าไม่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะการค้าขายมันเกี่ยวโยงกันหมด คนที่เคยซื้อของกันก็หมดกำลังซื้อ แต่ถึงขึ้นล้มระเนระนาดถึงไม่ถึง แต่อาจจะเซไปบ้าง โดยสังเกตุได้ว่าในขณะนี้ไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่มีฟองสบู่เหมือนตอนที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง รวมถึงไทยได้นำบทเรียนในช่วงนั้นมาใช้และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการกำกับที่เข้ม"

นายบัณฑูรกล่าวถึงสถาบันการเงินว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อการเก็งกำไร จึงไม่เป็นปัญหารุนแรง ขณะที่ภาคการส่งออกคงได้รับผลกระทบบ้างในส่วนของสินค้าที่เกินกว่าความจำเป็นส่วนสินค้าพวกอาหารที่ราคาไม่แพง เช่น ปลากระป๋อง นั้นนอกจากการส่งออกจะไม่ถดถอยแล้วน่าจะมีการส่งออกได้มากขึ้นด้วย และที่ผ่านมาทางผู้ประกอบการได้เห็นแนวโน้มดังกล่าวมานานแล้วและได้มีการปรับตัวไปบ้างแล้ว ด้วยการหาตลาดใหม่ ๆ และมีการปรับเรื่องของต้นทุนซึ่งจะทำให้สามารถอยู่รอดได้

ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าในปีหน้าจะคนตกงานเป็นจำนวนมากอาจเป็นหลักล้านคนนั้น มองว่า ปัญหาเรื่องการตกงานเป็นเรื่องใหญ่ แต่ส่วนของสังคมไทยไม่น่าจะมีความรุนแรงมากถึงขนาดนั้น เพราะการจะตกงานคงต้องเป็นส่วนของบริษัทที่เจ๊ง ซึ่งตอนนี้ธุรกิจไทยก็ยังประคับประคองกันไปได้ และในส่วนของสถาบันการเงินไทยเองน่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังต้องมีการพัฒนาธุรกิจต่อไปอีก

"การที่ราคาหุ้นตกก็เป็นเรื่องปกติที่พอภาวะไม่ดีก็จะมีการขายออกไป ส่วนเงินระยะยาวนั้นจะมีออกไปหรือไม่นั้นมองว่าไม่น่าจะมี เช่น ตอนนี้เงินลงทุนของญี่ปุ่นยังไม่หนีเลย เขายังคงใช้ไทยเป็นยุทธศาสตร์ในการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์ แต่ที่ชะงักไปบ้างคงเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริงคนยังอยากลงทุนและอยากมาเที่ยวไทย แต่เพียงรอจังหวะ"นายบัณฑูรกล่าว

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนในปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากทำให้นักลงทุนหลายประเทศมีการชะลอการเข้ามาลงทุนในไทยเพราะภาพปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้เผยแพร่ไปทั่วโลกประกอบกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุมได้ แต่สิ่งที่ปรากฏคือมีการชุมนุมของกลุ่มคน จึงทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องไปใช้สนามบินดอนเมืองเป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแทน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประเทศไทยคงจะสามารถหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมืองได้ เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดเหตุการณือย่างไรขึ้นมาประเทศไทยก็สามารถหาทางออกและแก้ปัญหาได้ในที่สุด

สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปี 2552 นั้น ธนาคารได้ปรับลดการเติบโต ลงเหลือ 6-7% ซึ่งเป็นการปรับลดลงจาก 2 เดือนก่อน ที่ประมาณการว่าในปี 2552 การขยายตัวสินเชื่อของธนาคารจะเติบโต 10-16% ซึ่งการปรับลดประมาณการดังกล่าวเป็นไปตามสมมติฐานการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโต 4-5% แต่ปัจจุบันคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโตได้อย่างมากที่ 3% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกขยายตัวได้น้อยลง รวมถึงตัวแปรของการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกหลายตัวยังมีความคลุมเครือด้วย ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีหน้าคงมีการปรับตัวขึ้นบ้างตามวัฎจักร แต่คงไม่เป็นตัวเลขที่ใหญ่เท่ากับตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง

ล่าสุดประกาศนำเครือธนาคารกสิกรไทยสู่ยุคใหม่อีกครั้ง มุ่งเป็นธนาคารที่พร้อมสรรพสำหรับให้คำปรึกษา พัฒนาหลากบริการ K-Weplan, Advice Ready Branch, K SME Care Knowledge Center, K Business Clinic มั่นใจเป็นแห่งแรกที่พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีเป้าหมายให้ทุกบริการเป็นบริการที่ให้คำปรึกษา (Advice Ready) ที่มีความหมายและมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งลูกค้าไม่สามารถหาได้จากสถาบันการเงินอื่น โดยช่องทางการให้บริการของธนาคารจะมุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ธุรกิจและเศรษฐกิจแก่ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างมืออาชีพ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.