บบส.อ้อนคลังขอซื้อหนี้เพิ่ม


ผู้จัดการรายวัน(11 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

บบส.อ้อนคลังเปิดกว้างให้รับซื้อหนี้เสียเพิ่มเติม เล็งซื้อเอ็นพีแอลจากสถาบันการเงินของรัฐด้วยกันของธอส.,ออมสินหรือสถาบันการเงินอื่นๆ เชื่อบบส.สามารถทำกำไรได้เพียบ โชว์ฝีมือช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ของระบบเศรษฐกิจได้อีกจำนวนมากจากการบริหาร

นายสิน เอกวิศาล กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้บบส.สามารถรับซื้อสินทรัพย์จากองค์กรต่างๆ เพื่อนำมาบริหารได้เพียง 3 ช่องทางเท่านั้น คือ การรับซื้อหนี้เสียจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) องค์การบริหารสินทรัพย์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) และสินทรัพย์ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ถือหุ้นอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาในช่วง 6 เดือนแรก สามารถทำกำไรได้มากกว่า 1,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงการคลังแก้ไขพระราชบัญญัติของ บบส. เพื่อให้รับซื้อหนี้เสียได้มากกว่านี้ เช่นการอนุญาตให้บบส.เข้าไปรับซื้อเอ็นพีแอลจากสถาบันการเงินของรัฐด้วยกัน เช่นของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือของธนาคารออมสิน หรือสถาบันการเงินอื่นๆ เชื่อมั่นได้ว่าบบส.จะสามารถทำกำไรได้มากกว่านี้แน่นอน และยังเป็นการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของระบบเศรษฐกิจได้อีกจำนวนมาก รวมไปถึงสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของสถาบันการเงิน ที่ขณะนี้แต่ละแห่งมีเป็นจำนวนมาก

นายสิน กล่าวว่า ขณะนี้บบส.ได้ใช้กลยุทธ์เชิงรุกต่าง ๆ ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่รับซื้อมาจากปรส. รวมถึงการมีบุคลากรที่มีคุณภาพ มีระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดตามประมวลผล และมีระบบการทำงานที่ทันสมัย จึงทำให้บบส.ประสบความสำเร็จมากและสามารถล้างขาดทุนสะสมได้สำเร็จตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2546 กำไรครึ่งปีกว่า 1.5 พันล. สำหรับผลการดำเนินงานประจำงวด 6 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2546 ว่า บบส.มีกำไรกว่า 1,500 ล้านบาท และสามารถ ล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2546 ซึ่งจะทำให้บบส.สามารถทำกำไรได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ตามที่ประมาณการไว้

ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บบส.มีรายได้รวมประมาณ 2,355 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย รายได้จากลูกหนี้ใช้สิทธิซื้อคืน รายได้จากการให้เช่าซื้อ รายได้จากการบังคับคดี และรายได้ อื่นๆ

สำหรับสาเหตุที่บบส. มีกำไรเพิ่มขึ้นนั้น สืบเนื่องจากความสำเร็จในการดำเนินงานด้านต่างๆ เช่น การจำหน่ายทรัพย์สิน ซึ่งวางนโยบายเชิงรุกทุกรูปแบบ อาทิ ผู้บริหารระดับสูงเข้าพบลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรง การขยายการแต่งตั้งตัวแทนขายรายใหญ่ และรายย่อยทั่วประเทศ การจัดการส่งเสริมการขายทรัพย์สินในราคาพิเศษ และการช่วยออกบูธแสดงสินค้าในงานมหกรรมแสดงสินค้าประเภทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ

ประกอบกับในช่วงต้นปี 2546 บบส.ยังได้เพิ่มช่องทางการพัฒนาและจำหน่ายทรัพย์สินด้วยกลยุทธ์รูปแบบใหม่ออกมา คือ โครงการกิจการร่วมทำเพื่อการพัฒนาและจำหน่ายทรัพย์สิน ส่งผลให้บบส.ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายทรัพย์สินเป็นอย่างมาก

โดยผลการจำหน่ายทรัพย์สินล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 บบส.มียอดอนุมัติการจำหน่ายทรัพย์สินถึง 2,390 ล้านบาท ซึ่งสามารถทำยอดเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 960 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ในครึ่งปีแรก 1,430 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายการขายทั้งปีไว้ 3,800 ล้าน บาท

ทั้งนี้ บบส.มีทรัพย์สินรอการขาย ณ 30 มิถุนายน 2546 คิดเป็นมูลค่ารวม 30,731 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดินเปล่ามูลค่า 18,279 ล้านบาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 6,088 ล้านบาท และสินทรัพย์อื่นๆ มูลค่ารวม 6,364 ล้านบาท

ธปท.นัดแบงก์เวิร์กชอปทุบเอ็นพีแอล

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมนัดธนาคารพาณิชย์ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อีกรอบหนึ่งเดือนพฤศจิกายน โดยที่ผ่านมาธปท. ได้แยกกลุ่มลูกหนี้เป้าหมาย 3 กลุ่ม คือกลุ่มปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วอยู่ระหว่างผ่อนชำระ มีการแก้ไขปัญหาได้สำเร็จตามเป้าหมาย จากเดิมลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวมูลหนี้เน่ารวมประมาณ 157,000 ล้านบาท มีเป้าหมายที่จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้เสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ และยอด ณ เดือนมีนาคมปรากฏว่าลูกหนี้เหลือเพียง 38,898 ล้านบาท ลดลงจากเดือนธันวาคม 2545 ถึง 11,479 ล้านบาท

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่อย่ระหว่างเจรจา กลุ่มดังกล่าวมีมูลหนี้ที่เพิ่มขึ้น จาก ธ.ค.45 มูลหนี้ประมาณ 287,880 ล้านบาทจนถึงมี.ค. ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 311,135 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของธนาคารพาณิชย์ไทย จาก 256,429 ล้านบาท ธ.ค.45 เป็น 287,297 ล้านบาทมี.ค.ปีนี้

กลุ่มที่ 3 อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและบังคับคดี กลุ่มนี้ธปท.ได้ส่งหนังสือเพื่อขอให้ลูกหนี้สมัครใจเข้ามาเจรจา ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเดือนเม.ย.จนถึงก.ค. เจ้าหนี้ทยอยส่งรายชื่อลูกหนี้ที่จะเจรจาด้วยมาแล้ว 2,217 ราย เป็นมูลหนี้ 18,507 ล้านบาท ขณะนี้ลูกหนี้ตอบรับเจรจาแล้ว 417 ราย มูลหนี้ 5,758 ล้านบาท



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.