ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่กรมสรรพากรจะประกาศใช้ภายในปี 2533 นั้น ถึงตอนนี้ยังอยู่ในภาวะลูกผี
ลูกคน ไม่รู้ว่าจะได้นำออกใช้จริง ๆ กันตอนไหน เพราะมีเสียงคัดค้านอยู่มากกว่า
จะทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นและธุรกิจห้างร้านต่าง ๆ ต้องมีระบบบัญชีเพิ่มขึ้นทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม
เสียงดังที่สุดคือเสียงของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีซึ่งได้พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
2 สิงหาคมว่า ควรจะเลื่อนการใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปก่อน เพราะยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องรายละเอียดและผู้ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความพร้อมที่จะรองรับ
เรื่องของเรื่องที่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ก็เพราะว่า
ระบบนี้ทำให้การหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้โดยแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือแจ้งขาดทุน
ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะในการซื้อขายสินค้าหรือบริหารในแต่ละขั้นตอนการผลิต
หรือบริการผู้ซื้อจะต้องให้ผู้ขายออกใบเสร็จที่จะเรียกกันใหม่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มว่า
ใบกำกับภาษีให้เพื่อที่จะได้ใช้เป็นหลักฐานนการหักภาษีที่เก็บจากผู้ซื้อสินค้า
หรือบริหารจากตัวเองในขั้นต่อไปก่อนที่จะส่งภาษีให้กับสรรพากร
ใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีนี้จะเป็นหลักฐานแสดงรายได้ที่แท้จริงของธุรกิจนั้น
ๆ สำหรับใช้คำนวณภาษีเงินได้ที่จะต้องเสีย การแจ้งยอดรายได้เท็จเพื่อเสียภาษีน้อย
ๆ ก็จะทำได้ยากขึ้นเพราะมีใบเสร็จเป็นหลักฐานฟ้องอยู่ นอกจากนั้นแล้วถ้ายอดรายได้ในปีแรกของการเก็บภาษีในระบบใหม่นี้สูงกว่าปีที่ผ่าน
ๆ มาอย่างผิดปกติแล้ว ก็อาจเป็นเหตุให้มีการตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังได้
ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นของแสลงสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงภาษีโดยเฉพาะ
ซึ่งนักธุรกิจส่วนใหญ่ในบ้านเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ รวมทั้งบรรดารัฐมนตรีและนักการเมืองที่มีธุรกิจของตัวเองก็อยู่ในข่ายนี้ด้วย
การใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจึงอาจทำให้เสียทั้งความนิยมทางการเมืองและกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของตนเองด้วย
แล้วใครละจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากพอที่จะกลาทุบหม้อข้าวตัวเอง