การปฏิวัติสารทำความเย็น

โดย สมชัย วงศาภาคย์
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

โทมัส มิดต์เล่ย์ (THOMAS MIDGLEY) แห่งบริษัท เยเนอราล มอเตอร์ (G.M.) เมื่อปี 1924 ได้ค้นพบสาร CHLOROFLUOROCARBONS (CFCs) มีคุณสมบัติทางเคมีในการเป็นตัวทำละลาย อีก 5 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของโลก ดูปองต์ ได้พัฒนาสาร CFCs และพบว่า CFCs มีคุณสมบัติทางเคมีในฐานะเป็นสารที่สามารถนำความเย็นได้ (CFC12)

การค้นพบสาร CFC-12 ของบริษัท ดูปองต์ ที่ผู้ใช้รู้จักกันในนามสารฟรีออน (FREONZ) นับว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำความเย็นครั้งแรกในโลก

แอร์คอนดิชั่นที่ใช้ในบ้านเรือน รถยนต์ ตู้เย็น และห้องเย็นที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ ก็ล้วนถูกเชื่อมโยงเข้ากับสาร CFC-12 ที่นำความเย็นมาให้ โดยผ่านอุปกรณ์เครื่องใช้

"มันเป็นเรื่องที่โกลาหลน่าดูถ้าหากว่าไม่มีการใช้ CFC-12 ในโลกอาหารสด หรือแช่แข็งทุกประเภทที่มนุษย์ต้องใช้บริโภคประจำวัน จะไม่สามารถถนอมคุณสมบัติดั้งเดิมไว้ได้ คงต้องเน่าเสีย มนุษย์ที่อยู่ในแถบเมืองร้อนจะอาศัยอะไรมาทดแทนหรือบรรเทาความร้อน" ผู้บริหารฝ่ายขาย CFCs ของบริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งในกรุงเทพฯ ปรารภกับ "ผู้จัดการ"

สาร CFCs มีคุณสมบัติดีกว่าแอมโมเนีย ตรงที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์เครื่องใช้ ไม่ติดไฟ แต่จุดอ่อนคือ มีส่วนประกอบของโมเลกุลคอลไรด์ที่ระเหยลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศแล้วทำลายโอโซน โดยแอร์ และสเปรย์ มีศักยภาพทำลายโอโซนสูงที่สุด

บริษัท ดูปองต์ ผู้ผลิตสาร CFCs รายใหญ่สุดของโลก ได้ลงทุนทำวิจัยและพัฒนาสารเคมีทดแทน CFCs ถึงปีละ 40 ล้านเหรียญ มาตั้งแต่ปี 2517

"สิ่งที่สำคัญของสารที่จะมาทดแทน CFCs ต้องมีคุณสมบัติไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์เครื่องใช้ ไม่ติดไฟ ไม่ทำลายชั้นโอโซน และที่สำคัญ ๆ มาก ๆ คือ มีผลต่อการลงทุนเพื่อปรับขบวนการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเย็นให้น้อยที่สุด" เชิดเกียรติ มนต์เสรีนุสรณ์ผู้บริหารฝ่ายขายของบริษัท ดูปองต์ กรุงเทพ เล่าถึงเจตนารมณ์ของดูปองต์ให้ฟัง

สารทดแทน CFCs (เฉพาะ CFC-11, CFC-12 และ CFC-113) เวลานี้ดูปองต์ได้คิดค้นวิจัยและพัฒนาขึ้นมาได้แล้ว เป็น HFC-134A ที่จะมาแทน CFC-12 ซึ่ง HFC-134A มีคุณสมบัติไม่ทำลายชั้นโอโซน และไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์ ไม่ติดไฟ จะติดอยู่เพียงประการเดียวที่ยังไม่มีข้อสรุปก็คือ จะมีผลต่อการลงทุนปรับขบวนการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรมทำความเย็นมากน้อยแค่ไหน เพราะสาร HFC-134 A มีส่วนผสมของไนโตรเจนเพิ่มขึ้น ทำให้แรงอัด (PRESURE) ของสาร HFC-134 A มีเพิ่มขึ้น

บริษัท ดูปองต์ ได้ลงทุนไป 30 ล้านเหรียญ เพื่อสร้าง PILOT PLANT ในการผลิตสาร HFCs เพื่อมาแทน CFCs จะเริ่มผลิตได้ในปี 2533 และคงใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการนำออกมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น (2538) อุตสาหกรรมทำความเย็น ก็ถึงยุคการเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีการผลิตใหม่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.