วันนี้ของเสรี ทรัพย์เจริญ


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

ในสหรัฐอเมริกา สิบกว่าปีก่อน ชื่อ จิม โจนด์ ดูจะเป็นที่เกลียดชังของชนชาวอเมริกันอยู่ไม่น้อย ภาพของสาวก จิม โจนด์ นับร้อยคนนอนตายเกลื่อนด้วยอิทธิพลความเชื่อในพระเจ้าที่บิดเบี้ยวตามคำสอนของจิม โจนด์ จนภาพสาวกที่นอนตายเกลื่อนสร้างความเศร้าสลดกับชนผู้นับถือศาสนาคริสต์ไปทั่วโลก

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันประมาณสิบปีที่ผ่านมา เรียกว่ากลิ่นอายความเกลียดชัง จิมโจนด์ยังไม่หายไปจากความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำเท่าไรนัก นักการเงินและค้าหุ้นเสรี ทรัพย์เจริญ ก็ถูกนไปเปรียเบทียบกับจิม โจนด์ เช่นเดียวกัน เมื่อธุรกิจค้าหุ้นและเงินอย่างราชาเงินทุน ได้สร้างการตื่นตระหนกและตายทั้งเป็นให้กับผู้ลงทุนในตลาดหุ้นกรุงเทพ เป็นครั้งแรก ดังที่ทราบกันว่า หุ้นราชาชาเงินทุนแปรปรวนลงอย่างไม่มีเหตุผล จนเสรี ทรัพย์เจริญถูกหมายหัวเอาจากตลาดหุ้นและหน่วยงานควบคุมของราชการ ว่าเป็นฝีมือปั่นหุ้นของเขา

เสรี ถูกฟ้องคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน จากวันนั้นถึงวันนี้ 10 ปีเต็ม ที่เสรีต้องถูกตราหน้าเป็น จิม โจนด์ตราบาปของเขาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน จากกรณีค้าหุ้นในตลาดถูกนำเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาให้กับนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หรือแม้แต่ในที่ประชุม วงสัมมนา

วันนี้ ศาลอาญาชั้นต้นได้ตัดสินออกมาแล้วว่า เสรีไม่ได้ฉ้อโกงประชาชน เขาเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า แทบไม่น่าเชื่อ 10 ปี เขาต่อสู้กับคดีอาญานี้เพียงลำพังรว่มกับทนายคู่ใจ ธานี พชราสุคนณ์ ผ่านพ้นสันดอน "โรคประสาท" มาได้อย่างไร

ทุกวันนี้ เขามีไลฟ์สไตล์ที่ออกจะแปลก ๆ เช้าถึงเที่ยงจะนั่งเล่นหุ้นอยู่ที่บ้าน ด้วยความหลงกลิ่นอายมันแล้ว เพราะอย่างน้อยธุรกิจค้าหุ้นก็ทำให้เขาตัวและดับมาแล้ว ดังนั้นค้าหุ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสรีไปเสียแล้ว อีกประการหนึ่งค้าหุ้นอย่างถูกจังหวะ (TIMING) ทำกำไรให้เสรีมาก ๆ จนเลี้ยงตัวได้ทุกวันนี้

ตกบ่าย ๆ ถึงเย็น เขาจะหมกตัวอยู่กับ กองบรรณาธิการเดลิไทม์ ที่โรงพิมพ์เดลิไทม์ซึ่งบริษัทปณิธาน ที่ลูกชายของเขากับ เสริมศรี เอกชัยร่วมกันถือหุ้นใหญ่

ก็หนีไม่พ้นแวดวงธุรกิจเกี่ยวกับหุ้นอีกนั่นแหละ เพราะหนังสือพิมพ์เดลิไทม์ขายข่าวเกี่ยวกับการค้าหุ้นโดยเฉพาะเสรีก็เป็นคอลัมนิสต์ประจำกองบรรณาธิการด้วยผู้หนึ่งร่วมกับนักข่าวอีก 30 ชีวิต

สรุปแล้ว ไลฟ์สไตล์ของเสรีวันนี้ เขาหมดไปกับเรื่องธุรกิจค้าหุ้นตั้งแต่เช้าจนเย็นแม้คดีอาญายังไม่จบ เพราะโจทก์อุทธรณ์สู้คดีต่อ

ก็คงอีกหลายปีกว่าคดีนี้จะจบ และเสรีต้องซื้อเวลาต่อไปเพื่อแลกกับความจริงของประวัติศาสตร์ ที่เขาเป็นตัวละครเอก

นอกจากนี้แล้วคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย 5,857 ล้านบาทจากแบงก์กรุงเทพ ที่เขาเป็นโจทย์กล่าวหาแบงก์กรุงเทพโยกย้ายบัญชีเขาจากสาขาผ่านฟ้าไปประดิพัทธ์ โดยไม่แจ้งให้เขาทราบจนเป็นเหตุให้เช็คที่เขาตีออกไปให้ลูกค้าจำนวน 900 บาท ต้องเด้ง และเป็นชนวนลามปามกระหน่ำให้ราชาเงินทุนมีอันต้องขาดสภาพคล่องจนล้มละลายไป เมื่อ 10 ปีก่อน แม้เขาจะแพ้ในศาลชั้นต้นแต่เขาก็สู้คดีต่อในขั้นอทุธรณ์ก็เป็นอีกฉากเหตุการณ์หนึ่งที่เขาต้องซื้อเวลา เพื่อแลกกับความชอบธรรมในสิทธิทางทรัพย์สินที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองตามกฎหมาย

คดีแพ่งที่แบงก์กรุงไทยยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลในคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ที่สั่งให้แบงก์กรุงไทยคืนทรัพย์สินในรูปหุ้นที่ตีมูลค่าออกมาเป็นเงินต้น 1,600 ล้านบาท และดอกเบี้ยอีกร่วม 300 ล้านบาท รวมเป็น 1,900 ล้านบาทแก่ทางการเพื่อนำไปหักหนี้ราชาเงินทุนออกจากเจ้าหนี้ประมาณ 700 ล้านบาท ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เสรีกำลังคอยรับผลพวงจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ หลังจากศาลชั้นต้นตัดสินให้จำหน่ายชื่อแบงก์กรุงไทยออกจากบัญชีลูกหนี้ราชาเงินทุน

ซึ่งถ้าหากว่าศาลเห็นชอบกับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ราชาเงินทุนก็มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกได้เพราะทรัพย์สินสุทธิเหลือจากหักจากหนี้ 700 ล้านบาท จำนวน 1,200 ล้านบาท มันมากพอที่จะทำให้ราชาเงินทุนใช้เป็น CAPITAL BASE ทำธุรกิจการเงินและค้าหลักทรัพย์ได้อีกสบาย ๆ

วันนี้ของเสรีกล่าวได้ว่าถึงที่สุดแล้วเขากำลังซื้อเวลาในคดีอาญา ซึ่งเขาถือว่ามีความหมายต่อศักดิ์ศรีชีวิตเขามากที่สุด ดังคำพูดที่เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" เมื่อ 6 ปีก่อนว่า "คนอย่างผม เสียเงินเรื่องเล็กแต่เสียชื่อซิเป็นเรื่องใหญ่"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.