บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในหนึ่งปีที่ผ่านมาตกอยู่ในภาวะความหวั่นไหวต่ออนาคตของตัวเองทั้ง
ๆ ที่ตัวเลขสวย ๆ ของกำไรจากการดำเนินงานในแต่ละปีน่าจะเป้ฯมาตรวัดประสิทธิภาพการบริหารงานได้ว่าไม่มีปัญหา
เพียงเหตุเดียวที่สั่นสะเทือนภาพพจน์ ความมั่นคงของบรรษัทฯที่ทำให้ผู้บริหารต้องวิตกกังวลก็คือ
การแก้ไขปัญหาการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอันเนื่องมาจากเงินกู้ต่างประเทศ
ซึ่งยืดเยื้อข้ามปีมาแล้วก็ยังหาทางออกไม่เจอจนเป็นเหมือนระเบิดเวลากำกับความเป็นไปในวันหน้าของสถาบันการเงินแห่งนี้
สุธี สิงห์เสน่ห์คือคนที่จะถอดชนวนระเบิดเวลาลูกนี้ในบทบาทประธานคณะกรรมการ
และประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ย่ำค่ำของวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม บนดาดฟ้าชั้นที่ 11 ของอาคารที่จอดรถสำนักงานใหญ่บรรษัทฯ
คือที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับประธานบรรษัทฯคนใหม่
ถ้าวัดกันด้วยจำนวนแขกรับเชิญที่มีประมาณ 30 คนงานนี้ก็เป็นแค่งานเล็ก
ๆ ตามเจตนาของเจ้าภาพที่ต้องการให้เป็นงานภายใน แต่ถ้าดูที่ฐานะบทบาทของผู้ที่ได้รับเชิญแล้วงานนี้เป็นงานชุมนุมคนใหญ่คนโตจากภาครัฐาและเอกชนมากที่สุดงานหนึ่ง
แขกผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งได้รับเชิญในฐานะกรรมการของบรรษัทฯเช่น ทวี บุตรสุนทร
บรรเจิด ชลวิจารณ์ ปะจิตร ยศสุนทร และพยัพ ศรีกาญจนา เป็นต้น อีกหลาย ๆ คนคือผู้นำของสถาบันในภาครัฐและเอกชนอย่างเช่นกำจร
สถิรกุล ชีระภาณุพงศ์ พนัส สิมะเสถียร มารวย ผดุงสิทธิ์ และพารณอิศรเสนา
ณ อยุธยา
ทุ่มเศษ คนสำคัญสองคนก็เกี่ยวก้อยกันมาถึง คนหนึ่งนั้นคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประมวล
สภาวสุ อีกหนึ่งก็คือสุธี แน่นอนว่าความสำคัญในเบื้องแรกคือตำแหน่งฐานะของคนทั้งสอง
แต่ที่มีความหมายมากไปกว่านั้นคือทั้งคู่คือกุญแจสำคัญของการปลดเปลื้องปัญหาใหญ่ของบรรษัทฯในเวลานี้
ประมวลอยู่ในฐานะคนที่จะหาเงินมาให้บรรษัทฯ เพื่อชดเชยการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนตามข้อผูกพันที่มีอยู่ระหว่างกระทรวงการคลังกับบรรษัทฯ
ส่วนสุธีนั้นคือคนที่มีหน้าที่ต้องไปเจรจาโน้มน้าวให้ประมวลยินยอมช่วยเหลือ
ปี 2531 บรรษัทฯขอให้กระทรวงการคลังชดเชยเงินขาดทุนเป็นจำนวน 763 ล้านบาท
ซึ่งทางคลังก็สนองตอบด้วยการตั้งเป็นงบประมาณรวมอยู่ในงบประมาณค่าใช้จ่ายประจำปี
2532 ของกระทรวงการคลัง แต่ในขั้นตอนการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรถูกตัดเหลือเพียง
240 ล้านบาท ที่เหลืออีก 523 ล้านบาทนั้นเป็นเรื่องที่บรรษัทฯต้องไปหาเอาเอง
ลำพังตัวบรรษัทฯเองแน่นอนว่าไม่สามารถหาเงินจำนวนนี้มาได้ เว้นเสียแต่กระทรวงการคลังจะยอมช่วยเหลือโดยใช้เงินจากงบกลางหรือด้วยวิธีการอื่น
ๆ มาชดเชยก่อนแล้วให้บรรษัทฯผ่อนชำระคืนทีหลัง แต่คำตอบของประมวลในเรื่องนี้ก็คือ
ให้บรรษัทฯหาทางช่วยเหลือตัวเองทั้งหมด ซึ่งทำให้บรรษัทฯต้องหาทางออกเฉพาะหน้าด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้เงินกู้ขอเลื่อนการชำระคืนเงินกู้ออกไป
สาเหตุของความไม่ใยดีของประมวลต่อคำร้องขอของบรรษัทฯไม่ใช่เรื่องของหลักการนโยบายหรือปัญหาทางเทคนิคใด
ๆ แต่เป็นเรื่องของความต้องการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารสูงสุดคือ สมหมาย ฮุนตระกูล
ซึ่งเป็นประธานกรรมการบรรษัทฯมาตั้งแต่ปี 2516 และความพยายามในการเล่นตัวกรรมการผู้จัดการบรรษัทฯคือ
ศุกรีย์ แก้วเจริญ
เรื่องแรกนั้นมีต้นตอมาจากความขัดแย้งในทางความผิดแนวนโยบายด้านการเงิน
การคลังระหว่างสมหมายกับนักการเมืองผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เรื่องหลังเป็นความไม่พอใจส่วนตัวของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในกระทรวงการคลังที่มีต่อศุกรีย์
เรื่องการเมืองผสมเรื่องน้ำเน่าเป็นแรงผลักดันให้ประมวงวางเฉยต่อเรื่องนี้
ปมเงื่อนสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนแปลงตัวประธานเสียใหม่
เพื่อทำให้สัมพันธ์ภาพระหว่างบรรษัทฯกับกระทรวงการคลังดีขึ้น
สุธีคือคนที่ถูกว่างตัวแทนสมหมายในบทบาทนี้ โดยประมวลเองเป็นคนชักชวนให้มาเป็นประธานบรรษัทฯตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว
ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบรับ เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสมให้สมหมายได้ลงจากเก้าอี้ที่นั่งมานานถึง
15 ปี
สมหมายยื่นใบลาออกจากการเป็นประธานบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม หลังจากนั้นวันที่
2 กรกฎาคม หลังจากนั้นวันที่ 2 สิงหาคมสุธีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคนใหม่
ภายหลังพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาลเปรม 5 เมื่อกลางปี
2531 สุธีก็เงียบหายไปจากวงการการเงิน การคลังของประเทสระยะหนึ่ง เพิ่งจะมารับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการของบริษัทมอร์แกนเกรนเฟลล์ไทยแลนด์
จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่างบริษัทจีเอฟโฮลดิ้งกับบริษัทมอร์แกน เกรนเฟลล์
โฮลดิ้งจากประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถและบารมีของเจ้าตัว ซึ่งไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้วบุคลิกส่วนตัวของสุธีที่ได้ชื่อว่าเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี
มีอารมณ์ขันอยู่เสมอ คือคุณสมบัติสำคัญอันหนึ่งที่เชื่อกันว่าจะทำให้บรรยากาศของความเข้าใจกัน
ระหว่างกระทรวงการคลังและบรรษัทฯดีขึ้นรวมไปถึงการทำความเข้าใจกับคณะกรรมาธิการงบประมาณให้อนุมัติเงินชดเชยได้ง่ายขึ้น
ภารกิจเฉพาะหน้าของสุธีตอนนี้คือ การหาทางหาเงินมาชดเชยการขาดทุนของบรรษัทฯในปีนี้
กระทรวงการคลังตั้งงบให้ตามคำขอของบรรษัทฯสำหรับปีงบประมาณ 2533 เป็นเงิน
1,080 ล้านบาทแต่กรรมาธิการงบประมาณให้มาแค่ 71 ล้านบาทเท่านั้น
เหลืออีก 1,000 ล้านบาทเศษที่สุธีต้องใช้ฝีไม้ลายมือหามาให้ได้
"ยังไม่ทราบ ต้องหารือกันอีกทีก่อน" สุธีตอบเบา ๆ เมื่อถูกถามถึงทางหนีทีไหล่ในเรื่องนี้
แต่ลู่ทางนั้นดูจะค่อนข้างสดใส เมื่อประมวลเองก็เคยยืนยันภายหลังจากสุธีเข้ารับตำแหน่งว่า
กระทรวงการคลังจะช่วยเหลือเต็มที่ ตามข้อผูกพัน ซึ่งช่างเป็นท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อครั้งที่แล้วที่สมหมายยังเป็นประธานอยู่
"ผมเชื่อในความสามารถของท่านประธานคนใหม่ ไม่มีอะไรน่าวิตกสำหรับปัญหาของบรรษัทฯกระทรวงการคลังเงินมากพอ"
ประมวลพูดออกมาในงานวันนั้นกับ "ผู้จัดการ" โดยมีสุธีร่วมรับฟังอยู่ด้วย
แม้จะเป็นท่าทีการสนองตอบที่ดีจากประมวล แต่ภารกิจที่จะแก้ไขปัญหาการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของบรรษัทฯจากนี้ไปฝากไว้กับสุธี
สิงห์เสน่ห์