งานแถลงข่าวและเซ็นสัญญาเงินกู้ระหว่างบริษัทปลาทองกะรัต
โดยพงศกร ญานเบญจวงศ์ กับสหธนาคารโดยปิยะบุตร ชลวิจารณ์ กรรการผู้จัดการใหญ่
จำนวนเงิน 380 ล้านบาท สำหรับโครงการแฟลตปลาทองกะรัตที่รังสิต เมื่อเย็นวันที่
17 สิงหาคม 2532 ณ อาคารปลาทองกะรัต เป็นงานที่จัดขึ้นอย่างหรูหรามาก อาหารถูกสั่งจากครัวโอเรียนเต็ลดนตรีขับกล่อมตลอดงานทำให้งานคึกคัก
มีวิทวัส สุนทรวิเนตร์ เป็นพิธีกร มีทีมข่าวสังคมธุรกิจของทีวีทั้ง 4 ช่องมาทำข่าวเป็นการเปิดฉากโฆษณาอย่ามโหฬารในอีก
20 วันต่อมา
คนที่เด่นที่สุดในงานซึ่งผู้สื่อข่าวล้อมหน้าล้อมหลังสัมภาษณ์มากที่สุดคือ
พงศกร คนในวงการที่ดินและบ้านจัดสรรคงพอจะรู้จักเขาบ้าง แต่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จักเขาเลย
ทั้ง ๆ ที่ขามีโครงการก่อสร้างต่าง ๆ จนถึงปัจจุบันแล้วมี 9 โครงการแล้ว
นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงเพราะว่าเขาเป็นหน้าใหม่ของวงการท่ามกลางโครงก่อสร้างมากมายที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนเก็บตัวมาก ๆ โฆษณาที่ออกมามากมายก็จะเน้นที่ตัวสินค้าเป็นด้านหลักโดยจไม่พูดถึงเจ้าของโครงการเลย
ด้วยความคิดของพงศกรที่ว่า "คนที่เก่งกว่าผมและเขาไม่เปิดเผยตัวมีมากมาย"
พงศกรหนุ่มใหญ่วัย 38 ปี เจ้าของแต่ผู้เดียวของบริษัทปลาทอง เป็นลูกชายคนเดียวของนายเทียม
แซ่เลี้ยง ซึ่งมีโรงงานผลิตวุ้นเส้นตราปลาทอง และอีกหลายยี่ห้อ ซึ่งทำเป็นอุตสาหกรรมที่มีมากกว่า
50 ปีแล้ว ปัจจุบันมีโรงงาน 10 กว่าโรงงาน สมัยเมื่อเยาว์พงศกร เป็นเด็กที่เกเรมาก
หลังจากเรียนหนังสือจนจบ ม.3 ที่ศรีวิกรณ์แล้ว พ่อส่งเขาไปเรียนต่อด้าน MODERN
ART ที่อังกฤษอยู่หลายปีแต่เขาก็เข้าเรียนแบบนับครั้งได้ หนักไปทางด้านเที่ยวเตร่มากกว่า
ถ้าถามว่าไปเที่ยวอังกฤษแล้วถามว่าไปเที่ยวผับยไหนดีเขาจะตอบได้ดีกว่าเรียนที่ไหนดีเป็นแน่แท้
และยังไม่ทันจะเรียนจบอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็หนีกลับมาเที่ยวเมืองไทยด้วยความคิดว่าจะกลับไปเรียนต่ออีก
บังเอิญพ่อเขารู้เข้าเสียก่อน พงศกรเลยถูกส่งไปคุมโรงงานวุ้นเส้นแห่งหนึ่ง
แต่อยู่ได้ 8 เดือนก็หอบเสื้อผ้าออกจากบ้าน ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตที่จะไม่พึ่งพาเตี่ย
ขณะนั้นเขาอายุเพียง 20 เศษ ๆ
ชีวิตในวัยเด็กของครอบครัวผู้มีอันจะกิน มิได้สุขสบายตามฐานะ เหตุเพราะแม่เขาเสียตั้งแต่เขายังเด็ก
พ่อของเขามีเมียใหม่เรื่องราวของเขาจึงไม่แตกต่างจากนิยายน้ำเน่าทั่วไป อาจจะเข้มข้นกว่าด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นเป็นส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เขาฮึดสู้ที่จะออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาให้ได้
จากลูกเศรษฐีที่เวลาไปไหนมาไหนคนก็เรียกว่าเสี่ย จึงกลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน
ต้องไปขอพักอาศัยที่บ้านพี่สาว ต้องขึ้นรถเมล์และเที่ยวตะลอนหางานทำ
พงศกรผ่านงานมาหลายประเภท อาทิ เป็นเซลส์ขายโฆษณาของหนังสือพิมพ์สยามรัฐผ่านงานบริษัทบีแอนซัน
กระทั่งเมื่อ 9 ปีที่แล้วเขารวบรวมเงินที่สะสมได้แปดหมื่นบาทเช่าร้านขายเฟอร์นิเจอร์ย่านลาดพร้าวซึ่งมีโชว์รูมขนาดใหญ่มากโดยใช้แนวคิด
"ONE STOP SHOP" ซึ่งทำท่าว่าจะไปได้ดี
หลังจากนั้นไม่นานตึกเซ็นทรัลพลาซ่าก็เริ่มก่อสร้างขึ้น และมีโครงการที่จะเปิด
FURNIMART โดยจะใช้พื้นที่เกือบ 3,000 ตรม. คือพื้นที่ทั้งฟลอร์เป็น ONE
STOP SHOP ซึ่งพงศกรอดไม่ได้ที่หวั่นไหวต่อคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเซ็นทรัล
ประกอบกับระยะนั้นมีการจัดงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์เกิดขึ้นอย่างมากมาย
เขาจึงคิดจะเปลี่ยนไปทำธุรกิจด้านอื่นที่น่าจะมีลู่ทางดีกว่า
นั่นคือที่มาของหมู่บ้านพงศกลวิลล่า 1 ลาดพร้าวซอยเดียวกับบ้านของอาภัสรา
จิราธิวัฒน์ ในปี 2525 และต่อด้วยหมู่บ้านการ์เดนท์วิลล่า ถนนรามคำแหงในปีถัดมา
สองโครงการแรกเป็นบ้านราคาล้านกว่าถึง 4 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว
โครงการที่ 3 จึงเกิดขึ้นในปี 2527 ในชื่อหมู่บ้านพงศกรวิลล่า2 ย่านลาดพร้าว
ซึ่งพงศกรหมายมั่นปั้นมือว่าโครงการนี้จะทำกำไร 60 ล้านบาท แต่กลับต้องขาดทุนย่อยยับ
ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ด้านคือเกิดน้ำท่วมใหญ่ติดต่อกันหลายเดือน และกระหน่ำซ้ำเติมด้วยมาตราการจำกัดสินเชื่อ
18 เปอร์เซ็นต์ของธนาคารชาติ นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิตของพงศกร!
คนหนุ่มอย่างพงศกรแม้จะทดท้อกับโชคชะตาอยู่บ้าง แต่เมื่อไม่สำเร็จย่อมต้องไม่เลิกลา
ทำให้เกิดโครงการบ้านปลาทองกะรัต ย่านบางนา-ตราด กม.7 ซึ่งแถวนั้นใน พ.ศ.2529
เปลี่ยวมากยังไม่มีใครคิดที่จะไปทำบ้านจัดสรรที่นั่น กลุ่มเป้าหมายคือชนชั้นกลาง
ราคาบ้านอยู่ในราว 7-8 แสนบาท ซึ่งหลังจากผู้ซื้อเข้าไปอยู่อาศัยแล้วเกิดกรณีพิพาทระหว่างคณะกรรมการหมู่บ้านกับเจ้าของงโครงการ
ในเรื่องการอำนวยแก่ผู้อยู่อาศัย ซึ่ง "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ได้มีส่วนในการช่วยไกล่เกลี่ยโดยใช้สำนักงาน
"ผู้จัดการ" ที่ถนนพระอาทิตย์เป็นสถานที่ในการเจรจากันอีกหลายรอบจนเรื่องราวยุติ
ด้วยการที่เจ้าของโครงการยินยอมตามข้อเรียกร้องของกรรมการหมู่บ้านส่วนใหญ่
แต่ในปีเดียวกันนั้นเองหมู่บ้านปลาทองกะรัตก็ได้รับการยกย่องเป็นหมู่บ้านดีเด่น
ซึ่งกรมที่ดินจัดขึ้นเป็นปีแรก
พงศกรได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความสามรถทางด้านการตลาดมากคนหนึ่ง และงานที่เกิดจากมันสมองอันไม่หยุดนิ่งของเขาซึ่งเป็นที่ฮือฮาของวงการมากกว่าก็คือโครงการ
"มินิออฟฟิตรัชดาคอมเพล็ก" ขึ้นเป็นครั้งแรก
รูปร่างหน้าตาของมันก็คือกลุ่มอาคารที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไปนัก โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เป็นการตกผลึกความคิดจากการค้นพบข้อด้อยของอาคารพาณิชย์ตึกแถวและคอนโดมิเนียมระฟ้า
"มินิออฟฟิต" เป็นอาคารสูง 5 - 9 ชั้นมีที่จอดรถ มีสิ่งอำนวยความสะดวก
เช่น ลิฟต์ เป็นอาคารที่สวยงามด้วยฝีมือการออกแบบของสำนักงานดีไซน์ 205 และแปลนอาร์คิเตค
วึ่งเป็นสิ่งที่อาคารพาณิชย์ทั่วไปจะไม่มีและต่างจากคอนโดมิเนียมตรงที่เป็นเจ้าของตึกแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมในด้านสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง
ๆ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน จนเกิดปัญหาโต้แย้งเรื่องค่าบำรุงรักษากันอยู่เนือง
ๆ
ผลงาน "มินิออฟฟิตรัชดาคอมเพล็ก" นอกจากจะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจอย่างมาก
ยังได้กลายเป็นแม่แบบที่มีคนเลียนแบบทำตามมาอีกหลายโครงการ แล้วยังได้รับการยอมรับจากแวดวงวิชาการในฐานะกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในระดับปริญญาตรีและโท จนกระทั่งสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงลงมติมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจประจำปีการศึกษา
2531 ให้แก่พงศกร
พงศกรสร้างสถิตในการเป็นสามัญชนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับปริญญานี้เมื่ออายุเพียง
38 ปี นับว่าเป็นเกียรติยศด้านกลับจากคนที่ไม่เอาดีด้านการศึกษา แต่การสร้างสรรค์งานในโลกแห่งความเป็นจริงกลับได้รับการยอมรับยกย่องจากสถาบันการศึกษาระดับสูง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับเขา
พงศกรยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งปี 2532 เขาประกาศจะขึ้นอีก 3
โครงการคือบ้านฉางเรสซิเดนท์ แอนท์คอมเพล็ก ที่ตำบลบ้านฉาง ระยอง โครงการเลเดียสรีสอร์ทคลับพัทยา
พัทยากลาง และโครงการแฟลตปลาทองรังสิต
โครงการแฟลตปลาทองอยู่ริมถนนใหญ่ ห่างจากตลาดรังสิตไป 4 กม. ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์
72 ห้อง และแฟลต 130 อาคาร (7,280 ห้อง) บนเนื้อที่ 130 ไร่ แฟลตห้องหนึ่งราคา
1.89 แสนบาท กลุ่มเป้าหมายคือชนชั้นกลาง ลูกจ้างข้าราชการที่มีเงินเดือน
3-4 พันบาทซึ่งพงศกรวางแผนไว้ว่าจะต้องขายให้หมดในวันเดียวซึ่งเปิดจองในวันที่
9 เดือน 9 (กันยายน) เขาทุ่มงบโฆษณาโดยใช้สื่อทุกประเภท หลังเปิดงานแถลงข่าว
จนกระทั่งถึงคืนก่อนวันจองคือ 21 วัน ใช้เงินโฆษณาถึง 20 ล้านบาท
"ลูกเล่นของเราสำหรับสินค้าตัวนี้คือต้องวันเดียวหมด ถ้าเราไม่ขายวันเดียวหมด
ถ้าเราไม่อยากขายวันเดียวมันไม่แรง จะรู้สึกไม่ตื่นเต้น ไปเมื่อไรก็มี จองวันเดียวมันรู้สึกกดึงดูดคนดี
เราทุ่มโฆษณาทางทีวี 4 ช่อง หนังสือพิมพ์ บัฑซาวด์ วิทยุ บิวบอร์ด กลางคืนยังมีรถติดไฟวิงทั่งกรุงเทพฯอีก
40-50 คัน เหมือนรถหาเสียง เราลงทุนขนาดนี้ ราคาห้องถูกขนาดนี้ถ้าวันเดียวขายไม่หมดผมก็ไม่รู้จะเอาตำราที่ไหนมาทำแล้ว
วันนั้นผมว่าจะมีคนมาเป็นหมื่นถ้าตี 5 คนมาน้อยกว่า 3 พันคน นี่แสดงว่านี่ผมล้มเหลวแล้ว"
พงศกรกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
ขณะที่ "ผู้จัดการ" ฉบับนี้ ถึงมือท่านผู้อ่าน เราคงทราบผล กันแล้วว่าเขาขายหมดภายในวันเดียวจริงหรือไม่
ซึ่งพงศกรบอกกับ"ผู้จัดการ" ว่าถ้าไม่หมดจริง ๆ ก็ค่อยว่ากันใหม่
พงศกรเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มักมีไอเดียแหวกแนวเสมอ ถ้าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ
โครงการต่อไปที่อยู่ในความคิดของเขา คือที่อยู่ของคนชั้นกลาง และล่าง เขาจะสร้างแฟลตที่ยิ่งถูกลงไปอีกในสนนราคา
6-7 หมื่นบาท สำหรับคนจนที่จะมีสิทธิ์มีที่อยู่ของตัวเอง กับโครงการสร้างคอนโดมิเนียมสำหรับชนชั้นกลาง
แต่ไม่ทำหรูหราอย่างที่เห็นกันทั่วไป แต่จะทำในราคาถูก นอกจากเหตุผลด้านการตลาดแล้วเขายังคิดว่า
"มันเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ให้โอกาสชนชั้นล่างและชั้นกลางมีสิทธิ์บ้าง"
พงศกรนั้นด้านหนึ่งเป็นคนชอบใช้ชีวิตอิสระเสรีชอบเที่ยวเตร่ แต่อีกด้านหนึ่งเขาเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่
ที่ทุ่มเทชีวิตให้แก่การทำงานหนักหลายครั้งที่ประสบวิกฤตการณ์เขาต้องใช้ความคิดเป็นอย่างหนักหน่วง
วิตกกังวล นอนไม่หลับจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลก็หลายครั้ง แต่เขาก็ภูมิใจที่สิ่งที่เขามีอยู่ในทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างมันขึนมาเองด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเองที่ไม่ได้พึ่งพาอาศัยครอบครัวเลย
วันหนึ่งนายเทมียมบิดาอันเกิดเกล้า ได้เดินทางมาเยี่ยมชมตึกปลาทองกะรัตอันเป็นสำนักงานให้เช่าและที่ตั้งของบริษัทปลาทองกะรัต
ซึ่งอยู่ด้านหน้า "มินิออฟฟิตรัชดาคอมเพล็ก" สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของนายเทียมก็คือ
"ไม่นึกเลยว่าลูกที่ทิ้งแล้วอย่างลื้อ จะทำได้ดีขนาดนี้"
เป็นคำพูดที่มีความหมายต่อพงศกรเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำพูดที่เขาอยากได้ยินจากปากพ่อเหลือเกิน
และในที่สุดเขาก็ได้ยินจริง ๆ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ติดป้ายภาษาจีน 4 คำ
อันเป็นการให้เกียรติคุณพ่อของเขาอ่านเป็นภาษาไทยว่า"ไท้เฮง ไต่เห่"
หรือ "อาคารไท้เฮง"