ใครเลยจะรู้บ้างว่าบริษัทบัวหลวงประกันภัยที่เปรียบเสมือนคนไข้ในห้องไอซียูเวลานี้
จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ "แพทย์" จากสำนักงานประกันภัยเท่านั้น
ได้เคยเป็นคนไข้เก่าแก่ที่ผ่านเข้าออกห้องไอซียูมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา
แล้วก็รอดออกมาผัดหน้าทาแป้ง แต่งตัวเอี้ยมเฟี้ยมใหม่ทุกครั้งไป
อดีตอันยาวนานของบัวหลวงนั้นเริ่มมาจากบริษัทรวมรถยนต์ประกันภัย จำกัด
ของเจาคุณพิพัฒน์ โปษยานนท์ ซึ่งจดทะเบียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2495 โดยมีใบอนุญาตทำประกันได้เพียงอย่างเดียวคือรถยนต์
ว่ากันว่าการทำรวมรถยนต์ในเวลานั้น เจ้าของไม่ได้มีเจตนาทำอย่างเต็มที่จริงจัง
และโดยทั่วไปจะหาผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการประกันภัยอย่างถ่องแท้ก็แทบจะไม่มี
รวมรถยนต์จึงมีทั้งกำไรและขาดทุนตลอดมา แต่ออกจะเป็นการขาดทุนเสียค่อนข้างมาก
และหลังจากเปลี่ยนตัวประธานบริษัทมาหลายครั้ง ในที่สุดปี 2521 ก็มีการเปลี่ยนเจ้าของและคณะผู้บริหารรวมทั้งชื่อบริษัทใหม่โดยใช้ชื่อว่าบริษัทไทยเอเชียประกันภัย
จำกัด
เจ้าของรายใหม่ซึ่งเป็นผู้ซื้อรวมรถยนต์ไปก็คือ วิชิต เทศรัตนวงศ์และเพื่อน
ๆ ที่เข้าหุ้นกัน
วิชิตได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านประกันภัยดีคนหนึ่ง
ทั้งนี้เขามีพื้นฐานจบการศึกษาทางด้านบัญชีจากวิทยาลัยกรุงเทพการบัญชีในยุคแรก
ๆ แล้วเริ่มทำงานประกัยภที่นำสินประกันภัยเป็นแห่งแรกโดยทำอยู่นานถึง 20
ปี
ต่อมาย้ายมาทำประกันภัยสากลในเครือสยามกลการอยู่ประมาณ 6 ปี
หลังจากคร่ำหวอดมานาน 20 กว่าปีประกอบกับอายุอานามเริ่มมากขึ้น เขาจึงคิดจะละวงการออกไปทำธุรกิจส่วนตัว
แต่ไม่สำเร็จเพราะทนเสียงชักชวนจูงใจให้รับซื้อรวมรถยนต์ไม่ได้ ในที่สุดรวมรถยนต์ที่สวนมะลิก็สูญหายไป
เกิดมีไทยเอเชียขึ้นในใหม่ที่สุรวงศ์
ในการซื้อรวมรถยนต์ครั้งนี้ แหล่งข่าวจากสำนักงานประกันภัยแย้มให้ "ผู้จัดการ"
ฟังว่าเป็นการซื้อที่ถูกมาก แถมได้กำไรมากด้วยโดยในจำนวนเงิน 4 ล้านกว่าบาทที่จ่ายไปนั้นได้มาทั้งใบอนุญาตซึ่งมูลค่าในเวลานั้นประมาณเกือบ
2 ล้านบาทแล้ว กับทั้งได้อาคารที่สวนมะลิอีก 1 หลังด้วย
หลังจากเปลี่ยนโฉมและย้ายสำนักงานใหม่ วิชิตก็จัดแจงขอใบอนุญาตทำประกันภัยจนครบทุกประเภท
ทั้งนี้เพราะความถนัดและความสามารถที่แท้จริงของวิชิตนั้นอยู่ที่งานประกันอัคคีภัยมากกว่า
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะขยายการรับประกันภัยออกไปหลายประเภทแต่เบี้ยประกันหลักของบริษัทก็ยังคงมาจากการรับประกันรถยนต์
วิชิตเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าเขามีประสบการณ์ความถนัดทางด้านอัคคีภัยเป็นอย่างมาก
และเขายังกล่าวเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจประกันอัคคีภัยกับรถยนต์ว่า "จริง
ๆ แล้วบริษัทประกันภัยนี่อัคคีภัยยังพอทำได้ แต่รถยนต์นี่ทำยากทีเดียว อัคคีภัยถ้าไฟไหม้น้อยหน่อยเราจะกำไรพอสมควร
อย่างรถยนต์นี่แน่นอนว่ามันต้องชน เราจะมีตัวเลขสถิติที่แน่นอน กำไรมหาศาลจะไม่มี"
ดังนั้นหากจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ แล้ว อาจจะต้องกล่าวว่าธุรกิจประกันภัยรถยนต์นั้นเป็นการค้าความเสี่ยงที่มากยิ่งกว่าในธุรกิจค้าขายความเสี่ยงภัยที่มีอยู่
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจกลายเป็นการค้าความไม่เสี่ยง (เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิด)
ก็ได้
วิชิตกล่าวถึงจุดอ่อนของเขาว่า "สมัยก่อนผมดูแลไม่ค่อยถึงคนเยอะ ดูแลเป็น
100 คน แล้วอย่างรถยนต์นี่บางทีผิดเป็นถูกและถูกเป็นผิดก็ได้ มันเปลี่ยนกันได้
มันอยู่ที่ว่าพนักงานแคลมรถซื่อสัตย์แค่ไหน"
และตัวเขานั้น "ส่วนมากพวกก็รู้นิสัยกันว่า ผมไม่ค่อยกล้าเสี่ยงเวลาเกิดเหตุ
เราก็ต้องจ่ายเขาไม่เคยเบี้ยว ในชีวิตนี้ทำประกันภัยมากไม่เคยเบี้ยวเลย"
ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่า งบดุลของไทยเอเซียประกันภัยมีตัวเลขการจ่ายค่าสินไหมสูงมาก
และในที่สุด 5 ปีให้หลัง ไทยเอเชียก็หวนกลับสู่วงจรเดิมอีกครั้งคือถูกหามเข้าห้องไอซียูด้วยอาการร่อแร่ปางตาย
ตัววิชิตเองนั้นถึงกับต้องบินไปพักรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่สหรัฐฯ
ส่วนบริษัทไทเอเซียประกันภัยก็ถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่อีกครั้งเป็นคำรบสอง
ไทยเอซียประกันภัยบนถนนสุรวงศ์ถูกถอดป้ายทิ้งไป เกิดมามีบัวหลวงประกันภัยขึ้นแทนที่บนถนนราชดำริ
ในปี 2526
อันที่จริงก่อนหน้าที่ไหนเอเซียจะเปลี่ยนมาเป็นบัวหลวงนั้นชาญชัย ตันกิติบุตร
และพวกได้เข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริษัทด้วยแล้วโดยวิชิตขายหุ้นให้เพียงส่วนหนึ่ง
ยังไม่ได้ขายทั้งหมด
แต่ถึงกระนั้น การเปลี่ยนตัวผู้บริหารบางคนก็ไม่สามารถช่วยกู้สถานะของบริษัทได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาเรื่องการคุมบริหารงานบุคคล
มานะ สุขบาง นักธุรกิจประกันภัยซึ่งหันเหไปทำด้านการประกันภัยสุขภาพ ที่บริษัทรัตนะประกันและเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับวิชิตเป็นอย่างดีเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟังว่าวิชิตได้มาขอความช่วยเหลือให้เขาไปตรวจสอบไทยเอเซีย
และเขาได้พบว่าไทยเอเซียมีปัญหาค่าสินไหมค้างจ่าย บริษัทมีปัญหาการควบคุมพนักงานเคลม
กับทั้งไม่รู้ด้วยว่าค่าสินไหมที่ค้างจ่ายนั้นมีจำนวนเท่าใดแน่
เมื่อเป็นดังนี้ มานะจึงให้คำแนะนำว่าวิชิตควรจะขายหุ้นเสียควรปล่อยมือให้คนอื่นขึ้นมาดำเนินงานแทน
วิชิตจึงขายหุ้นส่วนข้างมากให้กลุ่มชาญชัยและพวกไป โดยขายให้ในราคาไม่เกินหุ้นละ
140 บาท ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการขาย "ตามราคาทุนหรือขาดทุนไม่รู้ แต่ไม่มีกำไร
เพราะราคาพาร์ก็ 100 บาทแล้วและเมื่อผมซื้อมานั้นก็เพิ่มทุนเข้าไปอีก ผมทำไม่ได้หวังกำไรและก็ไม่ได้กำไรด้วย"
หลังจากที่วิชิตขายหุ้นแล้ว เขาเดินทางไปพักรักษาตัวที่สหรัฐฯ เป็นเวลากว่า
2 ปี เมื่อกลับมานั้นเขายังมีหุ้นอยู่ในบัวหลวงประกันภัยอีกในนามของบริษัทไทยเอเซียลิสซิ่ง
จำกัด จำนวน 7,640 หุ้น แต่เขาไม่เคยได้รับทราบข่าวอะไรจากบริษัทบัวหลวงเลย
แม้แต่เรื่องการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี เขาก็ไม่เคยทราบข่าว ส่วนเรื่องรายงานประจำปีนั้นเป็นอันไม่ต้องพูดถึง
เพราะไม่มีการส่งให้ผู้ถือหุ้นรับทราบแต่อย่างใดและในงบดุล/งบกำไรขาดทุน
เท่าที่ "ผู้จัดการ" สอบค้นมาก็ปรากฎว่าไม่มีตัวเลขแสดงเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด
จวบจนทุกวันนี้วิชิตตั้งความหวังว่าหากมีการเทคโอเวอร์บริษัทจริง เขาอาจจะยอมขายหุ้นบัวหลวง
แต่จะราคาเท่าใดก็ต้องมีการเจรจากันก่อน
ความหวังของวิชิตจะเป็นจริงเพียงใด ในเมื่อเงื่อนไขการเจรจาซื้อบัวหลวงนั้น
ไม่มกีารระบุว่าผู้ถือหุ้นเก่า ๆ จะได้รับอะไรบาง บางทีพวกเขาอาจต้องถือเอาไว้อย่างนั้น
แล้วรอให้วัฏจักรการซื้อแล้ว เจ๊งแล้วซื้ออีกเจ๊งอีกผ่านไปไม่รู้กี่รอบก็เป็นได้
เหมือนอย่างผู้ถือหุ้นดั้งเดิมแต่สมัยเป็นรวมรถยนต์ที่ก็ถือไว้โดยไม่ได้รู้เลยว่าบริษัทเดิมนั้นเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว
2 ครั้งและกำลังจะเปลี่ยนอีกเป็นครั้งที่ 3