TUFโกยรายได้$1พันล้าน หลังเทก "เอ็มเพรส" สหรัฐฯ


ผู้จัดการรายวัน(6 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ ปรับเป้ารายได้ปีนี้ใหม่ ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 42,000 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 30%จากปีก่อนเนื่องจากรับรู้รายได้จากการเข้าไปลงทุนใน"เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล"ของสหรัฐฯอีก 100 ล้านเหรียญ แถมยังมีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่มได้อีกเพียบ เผยเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลช่วงตุลาคมนี้หุ้นละ 1.19บาท หลังจากครึ่งปีแรกโกยกำไร 1,461.5 ล้านบาท ขยายตัวขึ้น 154%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)(TUF) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้ารายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 42,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 37,800 ล้านบาท คิดเป็นรายได้เติบโตขึ้นกว่า30% รวมทั้งคาดว่าปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15-20%

รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการเข้าไปซื้อกิจการของบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำในการนำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะกุ้งขาวจากสหรัฐฯ ทำให้บริษัทฯรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 5 เดือนนับจากนี้ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,200 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้เอ็มเพรสฯจะมีรายได้ประมาณ 220-240 ล้านเหรียญสหรัฐ

"ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทฯมีรายได้แตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ"

การตัดสินใจซื้อเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลครั้งนี้ TUF ใช้เงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดประมาณ 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ยังมี Free Cash Flow ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าฐานะการเงินยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงทุนเพิ่ม

ดังนั้น บริษัทฯยังมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไม่กระทบต่อกระแสเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อัตราหนี้สินต่อทุนรวมทั้งไม่ต้องมีการระดมทุนเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เร่งรีบที่จะลงทุนโครงการใหม่ในช่วงนี้ เพราะเพิ่งลงทุนไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสเป็นสำคัญ

"ปีนี้เป็นปีที่ผู้บริหารให้ความสนใจในการลงทุนใหม่ เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานานแล้ว ซึ่งดีลนี้ไม่ใช่ดีลแรก เพราะเราทำหลายดีล แต่เพิ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งนโยบายการลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส หลังจากเข้าไปลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล จะทำให้TUF เติบโตต่อไปได้อีก 2 ปี หากบริษัทไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มเติมก็ตาม โดยปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 20%จากปีนี้"

เปลี่ยนสถานะจากผู้ผลิตเป็นผู้ซื้อ

นายธีรพงศ์ กล่าวถึงเหตุผลในการลงทุนในบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลว่า เป็น การเปลี่ยนสถานะจากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปเพียงอย่างเดียวสู่การเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลสดและแช่แข็ง โดยเฉพาะกุ้ง ซึ่งปัจจุบันการผลิตกุ้งแช่แข็งเกินความ ต้องการอยู่มาก ทำให้กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ หากบริษัทฯไม่ปรับตัวในการสร้างความได้เปรียบ โอกาสธุรกิจกุ้งจะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ บริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลมีฐานลูกค้าเป็นร้านค้าส่ง (Wholesale) ในสหรัฐฯถึง 2,000 ราย ขณะที่บริษัทย่อย คือ Chicken of the Sea ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯมีความแข็งแกร่งของฐานลูกค้า Retail และ Foodservice ซึ่งจะสามารถช่วยเสริม ธุรกิจร่วมกันได้

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่ม Supply Chain โดยส่งเสริมให้บริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์ เนชั่นแนล หันมานำเข้ากุ้งแช่แข็งแปรรูปจากไทย เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่นำเข้าเพียง 6% เพิ่มเป็น 25-30% โดยจะลดการซื้อกุ้งแช่แข็งจากละติน อเมริกาลง

"การลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล มีขนาดลงทุนค่อนข้างเล็ก แต่มีความสำคัญในด้านกลยุทธ์ และยุทธศาสตร์กุ้งของบริษัท เพราะเขาเป็นบริษัทผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยมียอดขายแต่ละปีกว่า 200 ล้านเหรียญ ขณะที่ TUF มีรายได้จากธุรกิจกุ้งเพียง 100-120 ล้านเหรียญเท่านั้น"

ดังนั้น ในปี 2547 บริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจกุ้ง รวมทั้งอาหารกุ้งประมาณ 15,000 ล้าน บาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30%ของยอดขายรวม จากปัจจุบันธุรกิจกุ้งสร้างรายได้ให้กลุ่มบริษัทเพียง 15% ของยอดขายรวม

โดยโครงสร้างรายได้ของ TUF จะเปลี่ยน แปลงเป็น ธุรกิจปลาทูน่า 45-50%ของรายได้ ธุรกิจกุ้ง 30% และอาหารทะเลอื่นๆ

นายธีรพงศ์ กล่าวถึงแนวโน้มราคาปลาทูน่า ในครึ่งปีหลังว่าน่าจะอยู่ที่ 750-800 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่มีราคาอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายมี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐ

ส่วนกุ้งแช่แข็ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 230 บาท/กก. คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงจับกุ้งทำให้มีปริมาณกุ้งออกสู่ตลาดค่อนข้าง มากในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้

ครึ่งปีแรกกำไรโต 154%

ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2546 บริษัท มีกำไรสุทธิ 714.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน164% มีกำไรต่อหุ้น 0.83 บาท เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 17% จาก 195.2 ล้าน เหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2545 มาเป็น 229 ล้าน เหรียญสหรัฐในปีนี้ เนื่องจากการเติบโตของยอด ขายโดยเฉพาะปลาทูน่าเพิ่มขึ้น 24% รวมทั้ง Chicken of the Sea ในสหรัฐอเมริกาสามารถ ทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจาก 23.3% เป็น 13.8% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน(BOI)

ส่วนงวดครึ่งปีแรก 2546 บริษัทยังมีกำไร ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 886.7 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ซึ่งเท่ากับ 574.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 154% และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 452 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือในรูปเงินบาทเท่ากับ 19,200.4 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 19,392.8 ล้านบาท

จ่ายปันผลระหว่างกาล 1.19 บาท

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยจะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าที่เคยจ่าย คือ 70% จากกำไรจากการดำเนินงาน ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้ใช้เงินบางส่วนไป ลงทุนเพิ่มโดยการเข้าซื้อบริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลก็ตาม

โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) 1.70 บาทหากคำนวณที่อัตรา 70%ของกำไรสุทธิจะเท่ากับ 1.19 บาท/หุ้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.