วิกฤติบรรษัทฯ บทเรียนราคาแพงของ ศุกรีย์ แก้วเจริญ

โดย สมชัย วงศาภาคย์
นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

"กระทรวงการคลังกับบรรษัทฯมีข้อตกลงผูกพันกันมานาแล้ว ในประเด็นการจ่ายเงินชดเชยผการขาดทุนจกอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อข้อตกลงนี้ถูกปฏิบัติด้วยความเย็นชาด้วยเหตุผล เพื่อต้องการเตือนให้ผู้บริหารบรรษัทฯหันมาตรวจสอบสถานภาพและบทบาทของตัวเอง ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมมากขึ้น ขณะเดียวกันด้วยเหตุผลที่ว่านี้ มองในอีกมุมหนึ่งก็มีการสร้างภาพให้มองเห็นว่าการที่กระทรวงการคลังเย็นชาต่อความรับผิดชอบในผลข้อตกนั้นเพื่อต้องการใช้ วิถีทางการเมืองมีบรัดให้ประธานฯและผู้บริหารระดับสูงบรรษัทฯลาออก…

ปีนี้ บรรษัทฯจะมีอายุครบ 30 ปีพอดีถ้าเปรียบเทียบกับปุถุชนธรรมดา ๆ แล้วก็นับว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่มีกำลังวังชาสูงขีดสุด พร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง แข็งแรงได้ นับเนื่องมากถึงทุกวันนี้ บรรษัทฯมีผู้จัดการทั่วไปรับผิดชอบด้านการบริหารมาแล้ว 7 คน ผ่านการมีประธานกรรมการ ที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ทิศทางการเติบโตมาแล้ว 8 คน

ศุกรีย์ แก้วเจริญ เป็นผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบัน (คนที่ 7) ขณะที่สมหมายฮุนตระกูล เป็นประธานกรรมการ ความสัมพันธ์ของบุคคลทั้ง 2 ถูกยกเปรียบเปรยตามวัฒนธรรมของไทยว่า เป็นเหมือนปู่กับหลาน ที่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูกัน แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังว่า กล่าวคือ ศุกรีย์ เคยเป็นลูกน้องสมหมายมาก่อน สมัยบุคคลทั้ง 2 เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อ 15 ปีก่อน และเมื่อสมัยปี 2521 ที่ศุกรีย์ลาออกจากผู้จัดการทั่วไปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมหมายซึ่งขณะนั้นเป็นประธานกรรมการบรรษัทฯในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลัง ก็เป็นผู้สนับสนุนและชักชวนให้ศุกรีย์มากินตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไป และผู้จัดการทั่วไปบรรษัทฯ ในที่สุดเมื่อปี 2522 หลังจากวารี พงษ์เวช ผู้จัดการทั่วไปบรรษัทฯคนก่อนได้เสียชีวิตลงเนื่องจากโรคมะเร็งมองจากภูมิหลังนี้ ศุกรีย์เป็นคนที่โชคดีมาก ๆ ในหน้าที่การงาน

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นความโชคดีของศุกรีย์ที่มีสมหมายคอยให้การสนับสนุนอยู่ แต่เนื่องจากประสบการณ์ที่คลุกคลีมากับงานในลักษณะเป็น "ผู้ควบคุม" ในฐานะเป็น "นายธนาคารกลาง" และ "ผู้กำหนดกติกาการลงทุนในตลาดหุ้น" มากกว่า "ผู้เล่น" ก็นับว่าเป็นจุดร่วมในสถานการณ์ที่ต้องมาเป็นผู้กุมบังเหียนในสถาบันการเงินอย่างบรรษัทฯ ยามที่ต้องประสบมรสุมจากวิกฤติการณ์การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะความเคยชินกับการติดยึดกับกฎระเบียบมากเกินไป ย่อมจำกัดการตื่นตัวและปรับตัวอย่างรวดเร็ว ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

กรณีการบริหารหนี้เงินกู้คงค้างนอกสกุลบาทจำนวน 14,000 ล้านบาท เป็นตัวอย่างที่แจ่มชัดที่สุด

ศุกรีย์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า การคุ้มครองความเสี่ยง (HEDGING) จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไม่เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำเท่าไรนัก เพราะบรรษัทมีเครื่องมือด้านการตั้งสำรองความเสี่ยงไว้แล้วในสัดสวน 1.5-2.5% ของยอดหนี้และอีกประการหนึ่ง การทำคุ้มครองความเสี่ยงหนี้ระยะยาวเป็นเรื่องที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูง ทำให้ต้นทุนสินเชื่อของบรรษัทฯสูงเกินไป ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่บรรษัทฯจะสามารถคิดจากลูกค้าได้ในอัตราที่ต่ำกว่าตลาดอยู่แล้ว "บรรษัทฯมี NET PROFIT MARGING จริง ๆ เพียง 0.3% เท่านั้น ซึ่งนับว่าต่ำมาก"

แนวคิดแบบนี้ว่าไปแล้ว อาจจะสวนทางกับวิธีปฏิบัติในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่สถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทน้ำมันใหญ่ ๆ อย่างไทยออยล์ ปตท.ปฏิบัติกันอยู่

ชาญชัย ตุลยเสถียร ผู้จัดการแผนกบริหารการเงินของไทยออยล์ ซึ่งมีหน้าที่หลักหาเงินกู้ระยะยาวที่มีต้นทุนต่ำสุดมาให้ฝ่ายปฏิบัติการใช้ ได้กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า การบริหารความเสี่ยงในหนี้ที่เป็นเงินกู้ระยะยาวนอกสกุลบาท กล่าวในส่วนของไทยออยล์ ต้องทำคุ้มครองความเสี่ยง (HEDGING) ไว้ทุกระยะ ขณะเดียวกันก็จัด CURRENCY PROTFOLIO POSITION ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทอยู่ตลอดเวลา

"ต้นทุนทำ HEDGING สกุลเยนในเวลานี้จริง ๆ แล้วไม่เกิน 0.4% เท่านั้น ซึ่งนับว่าคุ้มกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น"

การระดมทุนระยะยาวมาหาผลประโยชน์จากตลาดเงินทั่วโลกของไทยออยล์ ว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากวิธีการหาเงินทุนระยะยาวมาปล่อยกู้หาผลประโยชน์ของบรรษัทฯแต่อย่างใด

มิหนำซ้ำ ถ้ามองในแง่หลักประกันคุ้มครองความเสี่ยงของต้นทุนเงินทุนด้วยแล้ว บรรษัทฯดูจะได้เปรียบกว่าไทยออยล์อย่างเทียบกันไม่ติด เพราะบรรษัทมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้ ซึ่งถ้าหากว่า บรรษัทฯประสบปัญหาขาดทุนจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนไปกระทรวงการคลังก็จะออกเงินชดเชยให้ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.บรรษัทฯและตามข้อผูกพันในบันทึกข้อตกลงระหว่างศุกรีย์ แก้วเจริญ ผู้แทนบรรษัทฯ กับรมต. คลัง สุธี สิงห์เสน่ห์ที่ลงนามตกลงกันเมื่อ 22 มกราคม 2523

ขณะที่ไทยออยล์ไม่มีใครค้ำให้ทั้ง ๆ ที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ (49%) ของไทยออยล์เป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)

จุดแตกต่างที่เป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันนี้เองที่เป็นเหตุผลให้ศุกรีย์กล่าวถึงการบริหารเงินกู้นอกสกุลบาทไว้เช่นนั้น ด้วยความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในสถานะของเงินกู้ ก็มีกระทรวงการคลังรับผิดชอบอยู่แล้ว

จึงเป็นเหตุให้ศุกรีย์ชะล่าใจในการบริหารหนี้เงินกู้ และเป็นจุดให้กรรมาธิการงบประมาณบางคนอย่าง พีรพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ ซึ่งมีอดีตเป็นผู้จัดการฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศของแบงก์กรุงเทพ หยิบยกเอาจุดนี้มาคัดค้านการเอาเงินงบประมาณแผ่นดินที่ประมวล สภาวสุ รมต.คลัง ตั้งขอมาจำนวน 763 ล้านบาท ไปชดเชยผลาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนปี 2530 ให้บรรษัทฯ

"การบริหารเงินตราต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็น ASSET ที่ต้องดูแลอย่างจริงจัง มันมีความเสี่ยง เราต้องบริหารกันให้ถูกต้อง โดยเฉพาะเวลานี้ ค่าของเงินบาทใน BASKET มันลอยไปลอยมาตามความผันผวนของค่าเงินสกุลอื่น ๆ ด้วยแล้ว ผู้บริหารบรรษัทฯต้องรับผิดชอบจะมาบอกฉันไม่รับรู้ไม่ได้" พีรพงศ์กล่าววิจารณ์ศุกรีย์ ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ผลการดำเนินงานปี 2530 ของบรรษัทฯ เป็นครั้งแรกที่ประสบปัญหาการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 763 ล้านบาท และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงอีก 6320 ล้านบาท

ผลการขาดทุนนี้ ทางผู้บริหารบรรษัทฯให้เหตุผลว่า เป็นผลจากการแข็งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าเงินเยน ดอยซ์มาร์กและฟรังส์ ซึ่งมีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่กระทรวงการคลังได้เปลี่ยนระบบการเทียบค่าของเงินบาทไว้กับเงินสกุลต่าง ๆ ในตะกร้า (MULTI - CURRENCY SYSTEM) เมื่อปี 2527

ปี 2526 ค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินเยนตก 9.96 บาท พอมาปี 2530 ค่าเงินบาทเทียบกับเงินเยนอ่อนตัวลง 20.42 บาทต่อ 100 เยน

มันอ่อนตัวลง 100 กว่าเปอร์เซ็นต์

เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ดอยซ์มาร์ก เยอรมนี และสวิสฟรังซ์ ก็เช่นกัน เมื่อเทียบกับเงินบาท มีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นตลอด

ดังนั้น เงินกู้ที่คลังไปกู้มาให้บรรษัทฯจากสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ก่อนปี 2521 ซึ่งเป้นเงินสกุลเยนดอลลาร์สหรัฐฯ และมาร์กเยอรมนี และมีเทอมเงินกู้ระยะยาว 20 ปีขึ้นไป จึงไม่รอดที่จะต้องประสบปัญหาการขาดทุน

"ช่วงไปกู้มาระหว่างปี 2506-2520 เงินเยน 100 เยนเทียบกับบาทมีค่าไม่ถึง 1 บาทด้วยซ้ำ แต่พอปี 2521 เยนเทียบกับบาท มันแข็งขึ้นมาทันทีเป็น 10 บาท เงินกู้ผูกพันที่เป็นสกุลเยน 13,500 ล้านเยนมันก็ขาดทุนหลีกเลี่ยงไม่ได้" แหล่งข่าวนักวิจัยในบรรษัทฯให้ความเห็น

ปี 2521 เดือนมีนาคม สมัยรัฐบาลเกรียงศักดิ์ มีการแก้ไขพ.ร.บ.เงินตรามาตรา 8 ยกเลิกการเทียบค่าเสมอภาคเงินบาทกับทองคำ เป็นเงินสกุลอื่น ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯแทน ด้วยเหตุนี้ค่าของเงินบาทที่เคยอิงอยู่กับทองคำ และมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ก็เริ่มอิงอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯอย่างมั่นคง และเมื่อดอลลาร์สหรัฐฯปรับค่าตามเงินสกุลเยนและมาร์กเยอรมนี เงินบาทไทยก็เลยต้องเปลี่ยนค่าประจำวัน (DAILY FIXING) ตามฐานที่เปลี่ยนไป

จะเป็นความบังเอิญหรือเปล่าไม่ทราบ ในช่วงที่เงินสกุลบาทเปลี่ยนฐานอิงจากทองคำเป็นดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2521 ก็เป็นปีที่ศุกรีย์เข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูงในบรรษัทฯพอดี ขณะที่สมหมายเป็นประธานฯและเป็นผู้จัดการใหญ่อยู่ที่ปูนซิเมนต์ไทย

ว่ากันว่าช่วงตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมาศุกรีย์และสมหมายในบรรษัทฯเปรียบเหมือนแม่ทัพในบรรษัทฯ ที่เป็นที่ยอมรับในนานาประเทศแล้ว

สมหมายเคยเป็น รมต.คลังในสมัยอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกฯเมื่อปี 2517-18 ขณะเดียวกันก็เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ด้วยในเวลาหลังจากนั้น กอปรกับเคยเป็นนักเรียนเก่าญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยเคโอะ

สายสัมพันธ์กับสถาบันการเงินนานาประเทศโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นจึงแน่นแฟ้น และมีบารมีพอที่จะดึงเงินทุนดอกเบี้ยถูก ๆ และเทอมชำระคืนยาว ๆ ได้ไม่ยาก

ศุกรีย์ กล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในช่วงสมัยปี 2521 ที่สมหมายเป็นประธานบรรษัทฯ ภาพพจน์ของบรรษัทฯในสายตาสถาบันการเงินนานาชาติดีมากบรรษัทฯอยู่ในสถานภาพที่สามารถออกหาแหล่งเงินกู้มาใช้ได้เอง ภายใต้ความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งมา ตั้งแต่ปี 2502

"การหาเงินกู้เองของบรรษัทฯในช่วงตั้งแต่ปี 2521 กระทรวงการคลังไม่ต้องค้ำประกัน เพียงแต่ให้ความเห็นชอบเท่านั้นแต่ความรับผิดชอบในความเสี่ยงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนนอกสกุลบาท กระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบอยู่ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับบรรษัทฯ" ศุกรีย์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

จากการสืบค้นของ "ผู้จัดการ" พบว่า ในปัจจุบัน สัญญาเงินกู้ต่างประเทศของบรรษัทฯที่ยังคงค้างอยู่มี 35 สัญญาเป็นสัญญาที่กระทรวงการคลังค้ำประกันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ 7 สัญญา มีมูลค่าเทียบเป็นเงินบาท 8,600 ล้านบาท เป็นสัญญาที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันแต่เห็นชอบด้วย 28 สัญญา จำนวน 5,400 ล้านบาท รวมแล้ว หนี้สัญญาเงินกู้บรรษัทฯคงค้างมีประมาณ 14,000 ล้านบาท

เงินกองทุนของบรรษัทฯ (สิ้นปี 2530) มีอยู่ 3,010 ล้านบาท ตรงนี้เป็นข้อต่อที่สำคัญของบรรษัทฯเพราะ หนึ่ง-หนี้ที่บรรษัทฯก่อขึ้นเองในสมัยสมหมายศุกรีย์ตั้งแต่ปี 2521 ถูกมองว่า ทั้ง 2 คนต้องรับผิดชอบไม่ใช่กระทรวงการคลังเนื่องจากหนี้จำนวน 5,400 ล้านบาทนี้ส่งผลขาดทุนจริงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นปี 2530 523 ล้านบาท

"การขาดทุนจริงในส่วนนี้ กรรมาธิการงบประมาณ ยอมตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังไม่ได้ เพราะเกิดจากการบริหารหนี้ที่ผิดพลาดของศุกรีย์และสมหมายเอง" กรรมาธิการท่านหนึ่งให้ความเห็น

กรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ประชุมลงมติเมื่อ 19 ธันวาคม ศกนี้ ที่จะอนุมัติเห็นชอบการชดเชยขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนให้บรรษัทฯของกระทรวงการคลังเพียง 240 ล้านบาทซึ่งเป็นผลขาดทุนจริงที่เกิดขึ้นจากการก่อหนี้ของคลังเองก่อนมีนาคม 2521

สอง - เงินชดเชยส่วนที่เหลือ 523 ล้านบาท ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยมีผลที่แจ่มชัดว่า ประมวล สภาวสุ รมต.คลัง จะดองเรื่องนี้ไว้ ไม่ยอมนำเข้าที่ประชุมครม. เพื่อขอความเห็นชอบ ดึงเงินจากงบกลาง

"ประมวลแกดึงเรื่องไว้ เพราะต้องการใช้เป็นเกมต่อรองเดินหากการเมืองกับฝ่ายค้านคือ บุญชู ซึ่งบุญชูเองก็มีเป้าหมายต้องการเล่นงานสมหมายให้กระเด็นออกจากประธานบรรษัทฯ" แหลางข่าวในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งวิเคราะห์ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ถ้าการวิเคราะห์ของคนในบรรษัทเป็นเช่นว่าจริง ศุกรีย์ก็คือเหยื่อที่ถูกเขาวางยาไว้

ตรงนี้ มีการปล่อยข่าวออกมาว่าประมวลต้องการปลดทั้งสมหมายและศุกรีย์ออก เพื่อเอาคนของพรรคชาติไทยหรือคนนอกพรรคชาติไทยที่ตนเองควบคุมได้มาสวมแทน

เหตุผลของประมวลเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ถูกร่างขึ้นด้วย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคนหนึ่งในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชื่อ "นิพัทธ์ พุกกะณะสุต" ที่ว่ากันว่าเป็นคนอัจฉริยะมากในการพูดจาโน้มน้าวให้นายอย่างประมวลซึ่งไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจการเงิน การคลังดีพอ เชื่อถือคล้อยตาม

นิพัทธ์กับศุกรีย์ เป็นเพื่อนกันมาก่อน ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเขาเชื่อว่า ปัญหาของบรรษัทฯที่เผชิญอยู่ ส่วนสำคัญมาจากนิพัทธ์ที่ปล่อยข่าวเล่นงานเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา

เรื่องนี้ว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เป็นสิ่งที่ยากต่อการพิสูจน์เพราะบางทีประเด็นปัญหาของบรรษัทฯ อาจถูกโยงเข้าหาการเมืองที่ต้องการชำระหนี้แค้นกันส่วนตัว แทนที่จะเป็นประเด็นเรื่องความผิดพลาดในการบริหาร

เข้าทำนองปัดสวะให้พ้นตัว โดยโยงเอาเรื่องอื่น ๆ ที่เผอิญเข้ามาเกี่ยวข้องให้ดูเป็นเรื่องราวว่า เป็นเรื่องเดียวกัน…

แต่อย่างไรก็ตาม รากฐานของความจริงที่บรรษัทฯในสมัยศุกรีย์ เป็นผู้จัดการทั่วไป กระทำต่อนิพันธ์ในปี 2527 ก็ดำรงอยู่จริง กล่าวคือ…

บรรษัทฯได้ฟ้องร้องต่อศาลเมื่อ 5 เม.ย.2527 กล่าวหาบริษัท THAI PURE GAS ที่มีพ่อของนิพัทธ์ชื่อคนิศร์ เป็นประธานฯ เบี้ยวการชำระหนี้ที่กู้จากบรรษัทฯมา 51 ล้านบาท เมื่อ 18 เม.ย. 2521 แม้ศาลชั้นต้นจะยืนยันตามฟ้องว่า บริษัท THAI PURE GAS ผิดจริง เมื่อ 25 ก.พ. 2531 แต่เรื่องนี้มีการอุทธรณ์ในชั้นศาลอุทธรณ์กันอยู่…

สาเหตุนี้ว่ากันว่า ทำให้นิพัทธ์ถึงกับไม่พอใจเป็นการส่วนตัวกับศุกรีย์ และมีการโยงเรื่องนี้มาเชื่อมเข้ากับกระแสข่าวปัญหาของบรรษัทฯว่าเป็นฝีมือของนิพัทธ์ที่ปล่อยข่าวนี้ โดยป้อนข้อมูลทั้งกับสื่อมวลชนบางฉบับและบุญชู

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศุกรีย์จะอ้างถึงกรณีบรรษัทมีปัญหาจนบานปลาย เนื่องจากมีการใช้เล่ห์ทางการเมือง เข้ามาแทรกแซงการพิจารณาปัญหาของบรรษัทจนบิดเบี้ยวไปจากความจริง แต่ปัญหาของบรรษัทที่ประสบอยู่ทุกวันนี้ ศุกรีย์และสมหมายที่หลีกไม่พ้นจากความรับผิดชอบไปได้ด้วยมาตรฐานเส้นวัดจริยธรรมของนักบริหารอาชีพ แม้ในข้อเท็จจริงด้านหนึ่ง ศุกรีย์และสมหมายจะสามารถบริหารงานบรรษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพในผลดำเนินงานก็ตาม

"ตัวเลขของกำไรสุทธิ ณ 30 กันยายนปีนี้เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มจาก 205 ล้านบาทเป็น 259 ล้านบาท" งบกำไร-ขาดทุนของบรรษัท 9 เดือนปีนี้ได้ระบุไว้เช่นนั้น

นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการบริหารสินเชื่อของศุกรีย์ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี อัตราส่วนหนี้สูงต่อยอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี ในแต่ละปี มีอัตราเพียงเฉลี่ยร้อยละ 0.02-0.7 และเมื่อวัดจากยอดเงินเบิกกู้สะสมหนี้สูญมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นเพียง 0.05-1.01 เท่านั้น

ผู้ใช้บริการเงินกู้จากบรรษัทนับตั้งแต่ก่อตั้งมาปี 2502 ถึงกันยายน ปีนี้ มีนับ 1,000 ราย ประมาณ 70% เป็นลูกค้าขนาดย่อม 8% เป็นลูกค้าขนาดใหญ่ และที่เหลือ 22% เป็นลูกค้าขนาดกลาง

มองในแง่นี้แสดงว่าศุกรีย์บริหารการจัดสรรเงินทุนเพื่ออุตสาหกรรมตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งที่เน้นอุตสาหกรรมขนาดย่อมและกลาง แต่กระนั้นก็ตามถ้ามองในแง่ปริมาณเงินที่บรรษัทจัดสรรเงินกู้ออกไปตลอด 29 ปีที่ผ่านมา กลับปรากฎชัดว่า มีการกระจุกตัวไปที่โครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากเกินไป

ระหว่างปี 2503 - กันยายน 2531 บรรษัทปล่อยกู้โครงการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 10,843 ล้านบาทเทียบกับยอดเงินปล่อยกู้ทั้งหมด 21,613 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของทั้งหมด

ตรงนี้แหละ ที่ศุกรีย์ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า บริหารงานจัดสรรทรัพยากรการเงินเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมบิดเบี้ยวไป

ลูกค้าที่ลงทุนโครงการขนาดเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ถูกมองด้วยสายตาว่าเป็นกลุ่มที่บรรษัทไม่จำเป็นต้องเข้าไปสนับสนุนด้านเงินทุน เพราะ หนึ่ง - ลูกค้ารายใหญ่พวกนี้แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยเงินกู้ระยะยาวและดอกเบี้ยต่ำกว่าทอ้งตลาดจากบรรษัท และ สอง - ลูกค้ารายใหญ่พวกนี้ ไม่มีปัญหาการขาดแคลนเงินทุน เพราะสามารถกู้ยืมเอาได้จากสถาบันการเงินอย่างแบงก์พาณิชย์ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว

แต่แม้สายตาจะถูกมองไปเช่นนั้นศุกรีย์กล่าวโต้กับ "ผู้จัดการ" ว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องควาาแตกต่างความคิดมากกว่าเพราะการพัฒนอุคสาหกรรมนั้นไม่ช่จะจำกัดเพียงแค่อุตสาหกรรมเล็กรหือกลางเท่านั้น มันกินรวมความถึงอุตสาหกรรมใหญ่ด้วย มันเป็นพื้นฐานอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเล็กมีต้นทุนสูง การบริหารสินเชื่อของบรรษัทต้องนำรายได้ดอกเบี้ยจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาชดเชยรายได้ดอกเบี้ยจากอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ด้วย

"โครงการใหญ่ ๆ เช่น ผาแดง ถ้าบรรษัทไม่ช่วยสนับสนุนโครงการ โครงการผลิตสังกะสีของผาแดงย่อมเกิดไม่ได้ เพราะการเกิดอุตสาหกรรมหนักต้องใช้เงินกู้ระยะยาว และเงินที่บรรษัทปล่อยไปกับอุตสาหกรรมรายใหญ่ ๆ ความจริงแล้วก็ตามข้อผูกพันที่บรรษัทมีกับแหล่งเงินกู้ที่ให้บรรษัทกู้มาปล่อยเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก" ศุกรีย์ย้ำถึงเหตุผลการปล่อยสินเชื่อแก่โครงการอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ กับ "ผู้จัดการ"

ศุกรีย์เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าจริงอยู่แม้บรรษัทจะได้รับยกเว้นพิเศษจากกระทรวงการคลัง ไม่ต้องเสียภาษีการค้าและได้รับการปกป้อง คุ้มครองความเสี่ยงจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่ข้อได้เปรียบ 2 สิ่งนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลถึงประสิทธิภาพการประกอบการของบรรษัทมากนัก "บรรษัทมีกำไรสุทธิจากการปล่อยสินเชื่อเพียง 0.3% เท่านั้น" กำไรสุทธิที่เล็กน้อยนี้เกิดจากปัจจัย 2 ประการ คือ หนึ่ง - อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบรรษัทต่ำกว่าตลาด ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของบรรษัทอยู่แล้ว และ สอง - ต้นทุนการบริหารความเสี่ยงจากหนี้สูญสูงเพราะบรรษัทต้องสำรองเงินทุนที่ปล่อยกู้ไว้หลายรายการ

กระนั้นก็ดี ก็มีบางคนให้ข้อสังเกตว่าบรรษัทอาจมีกำไรสุทธิต่อหน่วยต่ำ แต่การหางเงินทุนมาหาผลประโยชน์ในรูปการปล่อยกู้ยืมบรรษัทอยู่ในจุดที่ ได้เปรียบกว่าสถาบันการเงินอื่น ๆ อยู่แล้ว

"เงินทุนระยะยาวที่บรรษัทได้มาจากการระดมมากับระยะเวลาชำระหนี้ของลูกค้ามันเหลื่อมล้ำกันอยู่ ตรงจุดเหลื่อมกันนี่แหละ ผู้บริหารบรรษัทนำรายได้ส่วนนี้มาหาประโยชน์โดยการปล่อยกู้ทั้งในตลาด INTER BANK และตลาดสินเชื่อระยะปานกลางต่ออีกรอบหนึ่ง" แหล่งข่าวในสถาบันการเงินรายใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง

ตรงนี้ "ผู้จัดการ" จะขออรรถาธิบายให้ฟังดังนี้ว่า….แหล่งเงินทุนของบรรษัทส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาเช่น OECF, KFW, ADB เวลาที่บรรษัทไปกู้ยืมมา มิได้หมายถึงไปเอามาทั้งก้อนวงเงินทันทีเลย บรรษัทจะทยอยเบิกยืมมาใช้ตามความต้องการของสินเชื่อที่บรรษัทมี CONTACT กับลูกค้าเป็นงวด ๆ ไป

เทอมการกู้ยืมของบรรษัทจากแหล่งเงิน มีระยะเวลายาวนาน 20 ปีขึ้นไป ขณะที่เทอมการปล่อยกู้ของบรรษัทแก่โครงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ มันสั้นกว่ามาก ดังนั้นรายได้จากดอกเบี้ยและต้นเงินจากสินเชื่อที่เกิดขึ้น บรรษัทไม่จำเป็นต้องรีบไปชำระคืนแก่เจ้าหนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลา

ศุกรีย์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าเงินรายได้ส่วนนี้ บรรษัทจะนำไปหมุนขยายสินเชื่อต่อเรียกว่า CREDIT ROLL-OVER

ซึ่งลักษณะพิเศษการบริหารสินเชื่อแบบนี้ เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณเงินที่จะปล่อยสินเชื่อของบรรษัทได้สูงกว่า สถาบันการเงินอื่น ๆ

ความสำคัญที่จะวัดประสิทธิภาพการบริหารของศุกรีย์อยู่ที่ อัตราส่วนหนี้สูญต่อสินเชื่อคงค้างต่ำที่สุด ไม่ใช่ PROFIT ABILITY

จุดนี้ ถ้ามองพัฒนาการของบรรษัทตลอดช่วง 29 ปีที่ผ่านมา ต้องให้คะแนนผ่านเกรด A กับผู้บริหารบรรษัททุกคนที่สามารถบรรลุเป้าหมายเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นและเติบโตในประเทศนี้ ตัวอย่างเมื่อ 14-15 ปีที่แล้วบริษัทโรยัล เซรามิค มีโครงการผลิตกระเบื้องเซรามิกใช้ในประเทศ ผู้บริหารกลุ่มนี้เอาโครงการนี้ไปขอการสนับสนุนเงินทุนจากแบงก์พาณิชย์หลายแห่ง แต่ไม่มีใครสนใจนัยว่า สินค้ากระเบื้องเซรามิกแทบจะไม่มีใครเชื่อว่าจะมีอนาคต คนรู้จักก็น้อยมากในสมัยนั้น……

การเติบโตของโรยัล เซรามิค ทุกวันนี้ มีพื้นฐานมาจากบรรษัทที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่แรกนั่นเอง

แม้แต่กลุ่มเสถียรภาพก็เช่นกัน ถึงทุกวันนี้ กลุ่มนี้จะล้มละลายถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้หลายแห่งเป็นจำนวนเงินนับ 1,000 ล้านบาท

สมัยก่อนประมาณ 29 ปีก่อน ตระกูล "จุลไพบูลย์ เจ้าของกลุ่มบุกเบิกอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เซรามิกในไทย บรรษัทเป็นเจ้าแรกที่ปล่อยสินเชื่อแก่กลุ่มบริษัทนี้

"บรรษัททำหน้าที่ส่งเสริมด้านเงินทุนแก่พัฒนาการอุตสาหกรรมไทยมาตลอดได้ดีไม่มีที่ติ มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะนำเรื่องการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมาโยงเข้ากับฐานะการดำรงอยู่ของสมหมายและศุกรีย์ จนเป็นเงื่อนไขต่อรองแลกกับเงินชดเชยตามข้อผูกพันของกระทรวงการคลัง" วิโรจน์ นวลแข จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

แม้ในหลักการสถานภาพการดำรงอยู่ของบรรษัทจะยังคงมีความจำเป็นในฐานะเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ทีจะต้องสามารถเลี้ยงตัวเองได้ การนิ่งเงียบของศุกรีย์ให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบต่อข้อตกลงผูกพันกับบรรษัท เป็นการเรียกร้องที่ชอบธรรมภายใต้กฎเกณฑ์กติกาที่มีอยู่ เพราะการนิ่งเงียบมีความหมายต่อชะตากรรมของบรรษัทและ cREDIT STANDING ของประเทสหลายประการคือ…..

หนึ่ง - เงื่อนไขเงินกู้ของบรรษัทมีข้อผูกพันกับเจ้าหน้าที่ในทุกสัญญา ที่เจ้าหนี้สามารถเรียนหนี้คืนได้ทันทีที่เรียก ADVERSE EVENT ในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนความสามารถของบรรษัทในการชำระหนี้คืน

"เพียงกะทรวงการคลังแถลงออกมาว่า ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่ทำไว้กับบริษัท การขดาทุนอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า 6,000 ล้านบาทจะมีผลต่อฐานะทางบัญชีการขาดทุนจริงของบรรษัทฐานะทางบัญชีการขาดทุนจริงของบรรษัททันที ขณะที่ปัจจุบันบรรษัทมีเงินกองทุนเพียง 3,000 กว่าล้านบาท ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 6,000 ล้านบาท มันก็ล้มละลายแล้ว" เสรี จินตเสรี กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พาราเล่าให้ฟังโดยชี้ว่า สิ่งนี้จะเป็นสัญยาณที่บ่งชี้ว่าความสามามารถการชำระหนี้ของบรรษัทได้สูญเสียไปแล้ว

ความจริงเรื่องนี้ ศุกรีย์ได้ชี้แจงในกรรมาธิการ งบประมาณต่อหน้าบุญชูและประมวลอย่างละเอียดถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าหากกระทรวงการคลัง หรือกรรมาธิการงบประมาณไม่เห็นชอบจ่ายเงินชดเชยตามข้อตกลง

"คุณบุญชูไม่สนใจ แกถือว่านี่เป็นคำขู่มากกว่า ถึงกับพูดว่า อยากจะเห็นเหมือนกันว่าจะมีเจ้าหนี้รายไหนมากล้าทำ DEFAULT บรรษัท ที่แกพูดเช่นนี้เพราะแกเชื่อว่า เวลานี้ CREDIT STANDING ของประเทศดีมากเหลือเกิน ใคร ๆ ก็อยากให้กู้" กรรมาธิการท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง

กรรมาธิการงบประมาณมีมติให้กระทรวงการคลังใช้งบประมาณ 240 ล้านบาทจ่ายชดเชยขาดทุนให้บรรษัท แต่อีก 523 ล้านบาท ไม่อนุมัติเพราะเห็นว่ากฤษฎีกาตีความแล้วว่า ค่าเสมอภาคกับค่าของบาทที่เขียนไว้ในข้อตกลงกระทรวงการคลังกับบรรษัท ความหมายทางกฎหมายแตกต่างกัน เมื่อกระทรวงการคลังได้ยกเลิกค่าเสมอภาคตั้งแต่ปี 2527 การที่ข้อตกลงและกฎหมายบรรษัทที่ประกาศใช้ในรูปประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 233 ปี 2515 มาตรา 25 ใช้ถ้อยคำว่า ค่าเสมอภาคของเงินบาท แทนคำว่า ค่าของบาท จึงมีผลในทางกฎหมายด้วย

เรื่องนี้มีที่มาที่น่าเจ็บปวดมากสำหรับบรรษัท มีการแก้ถ้อยคำในมาตรา 25 ของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 233 ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของผู้ร่างกฎหมาย

ตอนที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ในมาตรา 25 นี้ เจตนาต้องการขยายอำนาจของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันเงินกู้ของบรรษัทที่มาจากแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ ไม่ได้จำกัดแต่เพียงเฉพาะแหล่งเงินกู้ ธนาคารโลกเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น ถ้อยคำที่เกี่ยวกับการเทียบค่าของเงินบาทกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ ยังใช้คำว่าค่าของบาทอยู่เหมือนเดิม

เมื่อร่างกฎหมายที่แก้ไขนี้ ผ่านมาที่กอง 3 กฤษฎีกา ที่มีโอสถ โกสิน เป็นประธาน ก็ยังไม่มีอะไรผิดพลาดไปจากถ้อยคำที่เจตนารมณ์ผู้ร่างต้องการ แต่พอผ่านมาททางระดับสูงในกฤษฎีกาและประกาศใช้คำว่าค่าเสมอภาคมาโผล่แทนคำว่าค่าของบาทได้อย่างไรไม่รู้ เวลานั้นก้ไม่มีใครในบรรษัทสนใจที่จะทักท้วงด้วยเพราะเห็นว่าเป็นสมัยปฏิวัติอยู่

เรื่องนี้มาย้อนเล่นงานบรรษัทเอาก็ตอนที่สมัยคุณสมหมายเป็น รมต.คลัง และเป็นประธานบรรษัทด้วย หลังจากปี 27 รมต.สมหมายยกเลิกค่าเสมอภาคนิพันธ์ก็นำเรื่องนี้มาให้สมหมายส่งกฤษฎีกาตีความ "ขณะนั้นสมหมายแกเชื่อคุณนิพันธ์มาก" ศุกรีย์เล่า กฤษฎีกากอง 7 ตีความออกมาว่า ค่าเสมอภาคได้ถูกยกเลิกไปแล้วกระทรวงการคลังไม่จำเป็นต้องมีข้อผูกพันในสัญญาที่ข้อตกลงกับบรรษัทอีกต่อไปแต่ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เลขากฤษฎีกาได้มีบันทึกเป็นหมายเหตุเพิ่มเติม ท้ายคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาว่า แม้ผลการวินิจฉัยจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องนี้เป็นเหตุบังเอิญของการแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่เจตนารมณ์ของผู้ร่าง….

เผอิญช่วงเวลานั้น บรรษัทไม่ประสบปัญหาขาดทุนจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนมันก็ไม่มีอะไรตูมตามออกมา จนมาแดงเอาตอนนี้ที่บรรษัทประสบปัญหาขาดทุนจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน 763 ล้านบาทและกระทรวงการคลังได้ตั้งงบประมาณจ่ายชดเชยให้ตามข้อตกลง

คำถามคือ ทำไมหลังปี 27 ศุกรีย์และสมหมายถึงไม่ดำเนินการอะไรสักอย่างหนึ่งลงไป เพื่อแก้ไขจุดช่องโหว่ของกฎหมายอันนี้

ปี 28 เป็นต้นมา ค่าเงินเยนและดอยช์มาร์ค เมื่อเทียบกับเงินบาทแข็งตัวขึ้นมา เพราะเงินบาทในระบบตระกร้าไปอิงไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯค่อนข้างมาก บรรษัทเริ่มมีวิกฤติการณ์ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถูกปิดไว้อย่างลับที่สุด

สอง - โอกาสการระดมเงินทุนระยะยาวจากแหล่งเงินในต่างประเทศด้วยเงื่อนไขที่ดีเหมือนอย่างอดีต หดแคบลง เพราะฐานะของบรรษัทไม่แน่นอนทำให้ CREDIT STANDING ของบรรษัทติดลบ ด้วยข้อเท็จจริงที่รู้กันว่า แม้บรรษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานแต่การระดมเงินจำนวนมากต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง เมื่อกระทรวงการคลังไม่รับผิดชอบอีกต่อไปจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหนี้ในต่างประเทศจะให้บรรษัทกู้ยืมอีก

"ใคร ๆ ก็รู้ว่า เจ้าหนี้ให้บรรษัทกู้เพราะเห็นว่ามีกระทรวงการคลังค้ำอยู่ ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อใน CREDIT STANDING ของบรรษัท" ผู้เชี่ยวชาญเงินกู้ต่างประเทศท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง

เมื่อบรรษัทไม่สามารถระดมเงินทุนจากต่างประเทศได้ ขณะที่การระดมทุนในประเทศระยะยาวในรูปการออกหุ้นกู้ ก็มีหุ้นจำกัดอย่างน้อย 2 ประการ คือ หนึ่ง - หุ้นก็มีอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยบรรษัทคิดจากลูกหนี้เงินกู้ต่ำกว่าตลาดอยู่ 2% จึงไม่คุ้มกัน และอาจมีผลต่อกำไรของบรรษัท และสอง - หุ้นกู้บรรษัทไม่มี INCENTIVE เพียงพอต่อตลาดเพราะไม่สามารถนำไปขายลดให้แก่ทางการในตลาด REPURCHASE MARKET เหมือนหุ้นหู้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำได้และนอกจากนี้ เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำได้และนอกจากนี้ เงินต้นหน้าตั๋วพร้อมดอกเบี้ย ก็ไม่ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล

ดังนั้น ภายใต้ข้อจำกัด ทางเดียวที่บรรษัทจะระดมทุนมาปล่อยกู้ได้ก็ต้องเพิ่มทุนอย่างเดียว ซึ่งคงไม่มีผู้ถือหุ้นสถาบันใดเอาด้วย

"กระทรวงคลัง ให้บรรษัทเพิ่มทุนอีก 1,000 ล้านบาท และให้ลดส่วนกำไรสุทธิในการจ่ายปันผลลง" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังบอกกับ "ผู้จัดการ" ถึงข้อเสนอของคลัง

แต่ดูเหมือนเป็นไปได้ยาก เพราะประมวลเองก็รู้ว่าข้อเสนอทั้ง 2 เป็นไปไม่ได้ การเพิ่มทุนในขณะที่ราคาหุ้นบรรษัทต่ำกว่าราคาพาร์ 100 บาท และกระทรวงการคลังยังไม่พูดออกมาชัดเจนว่า จะเอายังไงกับบรรษัท คงไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนเอาด้วยแม้คลังจะบอกว่าพร้อมที่จะเพิ่มทุนในสัดส่วน 15% ที่ถืออยู่ก็ตาม ส่วนสั่งให้ลดส่วนกำไรสุทธิในการจ่ายปันผลก็ยิ่งแล้วใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งทำออกไปราคาหุ้นบรรษัทในตลาดก็ยิ่งตก รวมความแล้วข้อเสนอแบบนี้ก็เหมือนกับกระทรวงการคลังปฏิเสธความรับผิดชอบบรรษัทแล้วนั่นแหละ เพียงแต่ไม่พูดออกมาตรง ๆ เท่านั้น

"ผมว่าประมวลแกกลัวฝ่ายค้านเล่นงานในสภา ตอน พ.ร.บ.งบประมาณ เข้าสภาวาระ 2 และ 3 แกต้องพูดคลุมเครือไว้ก่อนด้านหนึ่งให้ฝ่ายค้าน "จับไต๋" แก่ไม่ออกว่าแก่ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร และอีกด้านหนึ่งแก่ปล่อยให้กาลเวลาเป็นตัวกดดันให้ศุกรีย์และสมหมายเป็นคนเล่นลูกเอง ไม่ใช่แก" แหล่งข่าววิเคราะห์ให้ฟัง

ศุกรีย์เองตลอดเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เขาต้องวิ่ง LOBBY ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและค้านอย่างเต็มที่ เพื่ออธิบายให้เข้าใจถึงบทบาทสถานภาพของบรรษัท แม้จะรู้ว่างานนี้เขาเจอฤทธิ์การเมืองเข้าเต็มเปาก็ตาม

"ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฐานะของผมเวลานี้ จะต้องมานั่งวิ่งหมอบคาบเพื่อไหว้วานให้บุคคลต่าง ๆ เข้าใจบรรษัทหลายวันผมต้องอยู่รัฐสภา แทนที่จะอยู่ที่บรรษัทแต่ผมก็ยอมเพื่อบรรษัท" ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงวิธีการเล่นลูกวิธีหนึ่งของเขาอย่างเหนื่อยอ่อน

มันเป็นบทเรียนราคาแพงของศุกรีย์ที่เขาจำไปตลอดชีวิต

การเล่นลูกของศุกรีย์อีกวิธีหนึ่งคือ เขาต้องนั่งร่างแผนปรับปรุงสถานภาพของบรรษัทเป็นธนาคารสินเชื่อระยะยาว "LONG TERM CREDIT BANK" เพื่อเสนอต่อประมวล ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยเสนอแนวคิดนี้แก่สุธี สิงห์เสน่ห์ รมต.คลงคนก่อนมาแล้ว แต่เงียบ

มาครั้งนี้เขาต้องลงมือทำอย่างละเอียดถึงแนวคิดและโครงร่างของ "ธนาคารสินเชื่อระยะยาว"

ใช่….เขาชะล่าใจเกินไป ถ้าก่อนหน้านี้เขาลงมือทำสิ่งนี้อย่างละเอียด บางทีบทเรียนที่เจ็บแสบครั้งนี้ อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

แผนการปรับเป็น ธนาคารสินเชื่อระยะยาว ถูกเสนอต่อประมวล เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.นี้ แต่ถูกตีลกับให้ไปแก้ไขใหม่

"มันเป็นเกมถ่วงเวลาชัด ๆ " คนในบรรษัทระเบิดอารมณ์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" เป้าหมายในการคลายปัญหานี้อยู่ที่การเมืองที่ต้องการเขี่ยสมหมายและศุกรีย์ออกจากบรรษัท

"เกมที่ประมวลเขาจัดขึ้น โดยมีศุกรีย์เป็นตัวเล่นด้วยความอ่อนหัดในเกมมันเข้าทางของประมวลพอดี" แหล่งข่าวในสถาบันการเงินให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ"

สมหมาย มีศัตรูทางการเมืองไม่น้อยเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ ดุสิต โสภิตชา ส.ส.อุบลราชธานี พรรคกิจประชาคม กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า สมหมายต้องออกจากประธานบรรษัทเพื่อแสดงความรับผิดชอบในปัญหาที่เกิดขึ้น

ส่วนศุกรีย์ เขาเป็นนักบริหารอาชีพเป็นคนทำงานลูกเดียว รักษาเกียรติยศตัวเองยิ่งชีวิต ปัญหาของบรรษัททุกวันนี้ แม้จะเกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดในการบริหารหนี้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ถูกมองด้วยสายตาจากนักการเมืองฝ่ายค้านบางคนว่าแกดื้อเกินไปที่จะยอมปรับตัว คำพูดง่าย ๆ ที่ออกมาแสดงอย่างแจ่มชัดถึงความพยายามเรียกร้องให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบในข้อตกลงซึ่งเป็นเส้นวัดทางกฎหมาย

ว่าไปแล้ว เหตุผลทั้งของศุกรีย์และอีกฝ่ายหนึ่งก็ถูกทั้ง 2 สถานการณ์ บรรษัทปัจจุบันอยู่ที่ประมวลต้องแสดงความกล้าหาญทางการเมืองออกมาเล่นลูกบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ศุกรีย์เล่นเพียงคนเดียว

จะเอายังไงก็ว่ามาให้ชัด จะปลดทั้งสมหมายและศุกรีย์ด้วยข้อหาอะไรก็ว่ากันออกมา ความอึมครึมต่าง ๆ จะได้หมดไปเสียที

หรือถ้าไม่ปลด ก็รับเอาแผนปฏิรูปบรรษัทของศุกรีย์ไปเสีย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.