|
ทัวร์นอกปรับทัพรับศึกท่องเที่ยวท้ายปี
ผู้จัดการรายสัปดาห์(27 ตุลาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
แม้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกโดยรวมจะชะลอตัว และสภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การเดินทางออกนอกประเทศของนักท่องเที่ยวในไทยยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปี 51 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ระบุว่า ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจเท่าไรนัก เพราะยังคงมีอาชีพที่มั่นคง และมีรายได้ประจำ ขณะเดียวกันแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละประเทศรอบข้างโซนเอเชียกำลังถูกปลุกเร้าไปด้วยแคมเปญใหม่ๆหวังยั่วน้ำลายนักท่องเที่ยวคนไทยให้เดินทางเข้าไป กอปรกับสายการบินของแต่ละประเทศต่างยื่นข้อเสนออัดโปรโมชั่นพร้อมจะขนนักท่องเที่ยวในราคาสุดพิเศษ และที่สำคัญค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้นักท่องเที่ยวคนไทยเริ่มสนใจเดินทางออกนอกประเทศกันมากขึ้น
ส่งผลให้การแข่งขันทัวร์เอาวน์บาวน์ส่อเค้าร้อนแรงเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาหลายบริษัทนำเที่ยวมีการออกโปรโมชั่นด้วยราคาสุดพิเศษและยังคงใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกหลายบริษัทนำเที่ยวต้องการฉีกแนวคิดทางการตลาดออกมา ล่าสุดการเพิ่มวันและเส้นทางท่องเที่ยวในรูปแพ็คเกจทัวร์เดียวกันก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์หวังกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกที่จะใช้บริการ โดยที่ผ่านมามีการใช้ดารานักแสดงและผู้มีชื่อเสียงเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์หวังกระตุ้นให้คนเดินทางเช่นกัน นอกเหนือจากการใช้แพ็คเกจราคาถูกในเส้นทางท่องเที่ยวประเทศเดียว
ปัจจุบันกลเกมการตลาดเพื่อแย่งชิงนักท่องเที่ยวไทยไปนอกจึงมีออกมาหลากหลายรูปแบบและยิ่งภายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 51 ภาพของการอัดแคมเปญใหม่ๆออกมาจึงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยต่างๆเหล่านี้กำลังถูกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์เก่าที่เมื่อครั้งอดีตเคยสร้างความสำเร็จในระดับหนึ่งและถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่เพื่อใช้ต่อกรกับศึกท่องเที่ยวท้ายปี-ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้
สอดคล้องกับที่บริษัททัวร์หลายแห่งเริ่มทำการสำรวจจุดท่องเที่ยวใหม่ๆและหาคู่ค้าพันธมิตรต่างประเทศที่มีคุณภาพไปพร้อมๆกับการพัฒนาศักยภาพให้มากขึ้นโดยเฉพาะตลาดท่องเที่ยวระยะใกล้แถบเอเชียกำลังเนื้อหอมถูกนำมารวมเป็นแพ็คเกจทัวร์มากที่สุด
ขณะที่แนวโน้มตลาดท่องเที่ยวระยะทางไกลอาจจะมีการลดลง เนื่องจากปัญหาของต้นทุนสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าตั๋วเครื่องบิน น้ำมัน และ Land Operation
ล่าสุดบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งเริ่มเปลี่ยนยุทธวิธีด้วยการจับตลาดในระยะทางใกล้แทน ซึ่งเชื่อได้ว่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะตลาด จีน ฮ่องกง ,กรีซ,ตุรกีและตะวันออกกลาง เพราะด้วยปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่า การเดินทางที่ระยะสั้นคล่องตัวดี กอปรกับมีสายการบินเปิดให้บริการจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันดึงลูกค้าส่งผลให้ตั๋วเครื่องบินมีราคาถูก ขณะเดียวกันโรงแรมที่พักก็จะมีราคาถูกตามไปด้วยเช่นกัน
สอดคล้องกับที่ อเนก ศรีชีวะชาติ ประธานที่ปรึกษาสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว(TTAA)กล่าวถึง ผลกระทบจากปัญหาน้ำมันแพง กับค่าครองชีพที่สูงจนทำให้กำลังซื้อคนไทยลดลง ได้ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจบริษัทนำเที่ยวระยะไกล ไปในทวีปยุโรป หรืออเมริกา มีจำนวนลดลงมาก จากที่ผ่านมาเคยมีบริษัททัวร์ที่ทำเส้นทางไกลมากถึง 40% แต่ปัจจุบันลดเหลือเพียง 20% เท่านั้น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวสนใจจองไปน้อย จนทำให้การจัดไปแต่ละครั้งไม่คุ้มทุน
“ปกติการเดินทางไปยุโรปแต่ละครั้งต้องมีกลุ่ม 16 คนขึ้นไปถึงจะคุ้ม แต่หากต่ำกว่านั้นก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายสูงไป โดยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นส่วนใหญ่มาจากค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง (เซอร์ชาร์จ) ที่แพงขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของค่าเดินทางทั้งหมด อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ-ญี่ปุ่น ปกติจะคิดค่าเซอร์ ชาร์จ เพียง 1,000-2,000 บาท แต่หลังจากเจอวิกฤติการณ์น้ำมันแพง ค่าเซอร์ชาร์จได้ปรับราคาเป็นเกือบ 5,000 บาท ซึ่งหากเทียบตั๋วเครื่องบินไปยุโรป ราคาก็ยิ่งแพงเพิ่มขึ้นอีกมาก”เป็นข้อเปรียบเทียบที่ เอนก หยิบยกขึ้นมา
ขณะเดียวกันภาครัฐออกนโยบายไม่สนับสนุนให้หน่วยงานราชการทั่วประเทศมีการเดินทางออกไปดูงานต่างประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่าย อาจส่งผลกระทบต่อบริษัททัวร์ในเส้นทางระยะไกลอีกด้วย เพราะกลุ่มตลาดข้าราชการที่เดินทางไปดูงานหรือจัดสัมมนาในแต่ละปีจะถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ โดยปีหนึ่งๆมีการเดินทางไปจำนวนมากมายหลายร้อยคน
เมื่อสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ บริษัททัวร์ระยะไกลคงอยู่รอดลำบาก ดังนั้นบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศหลายแห่งเริ่มมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หวังให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าที่เดินทางพร้อมกับมีฐานการขยายตัวระหว่างระดับกลางไปถึงระดับล่างเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การปรับตัวเพื่อใช้กลยุทธ์ใหม่ๆมีออกมาให้เห็นเพื่อลดต้นทุนและให้มีกำไร
การเปลี่ยนไปใช้การเปิดเส้นทางทัวร์ระยะใกล้มากขึ้น อาทิตลาด จีน เกาหลี เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือในย่านเอเชียตะวันออก เหตุผลง่ายๆก็คือจะทำให้ต้นทุนต่ำมาก โดยเฉพาะภาพรวมของแพ็คเกจราคาทัวร์กลุ่มนี้ยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับยุโรปและอเมริกา
ทั้งนี้ ราคาแพ็กเกจทัวร์ท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ได้รับความนิยมที่สุด อยู่ที่ราคา 20,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะไปจีน ขณะที่ 30,000-40,000 บาท จะได้รับความนิยมตามลงมา เช่น เกาหลี ส่วนราคาตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป จะจำหน่ายได้ค่อนข้างลำบาก และได้รับความสนใจน้อยกว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันการทำตลาดทัวร์เอาว์บาวน์นอกจากจะเจอการแข่งขันกับผู้ประกอบการเดียวกันแล้ว ยังต้องพบกับปัญหาบริษัททัวร์อินบาวน์หลายแห่งที่แอบมาทำธุรกิจทัวร์เอาต์บาวน์แบบผิดกฎหมาย จนทำให้เกิดปัญหาการร้องเรียนของผู้บริโภคเกี่ยวกับถูกโกงเงิน หรือปล่อยทิ้งที่ต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นปัญหาเรื้อรังยากที่จะแก้ไข
แต่ปัจจุบันความพยายามของสมาคมไทยบริการท่องเที่ยวหรือ TTAA คือหน่วยงานที่พร้อมจะให้ความร่วมมือเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัททัวร์ต่างแดนให้กับผู้บริโภค...ปฏิบัติการเช็คบิลทัวร์นอกระบบของ TTAAออกมาแบบนี้เห็นที่บริษัททัวร์เถื่อนคงจะทำงานกันลำบากมากขึ้น
เที่ยวนอกท้ายปีคึกคัก“เอเชีย”เนื้อหอมคนแห่เที่ยว
ภาพรวมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในครึ่งปีหลังปี 2551 พบว่า นักท่องเที่ยวสิงคโปร์มีการขยายตัวปีต่อปีสูงสุดถึง 23% และคาดว่าจะมีชาวสิงคโปร์เดินทางออกนอกประเทศสูงถึงกว่า 4 ล้านคน ในช่วงครึ่งปีหลัง อันดับ 2 ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขยายตัวปีต่อปีที่ 12% และมีชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศสูงถึง 24.4 ล้านคน ในช่วงเดียวกัน อันดับ 3 ได้แก่ ชาวเกาหลีที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ 11% และมีคนเดินทางออกนอกประเทศราว 7.6 ล้านคน
ขณะที่การท่องเที่ยวในครึ่งหลังปี 2551 พบว่าจากสถิติตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยจะเดินทางออกนอกประเทศราว 2.1 ล้านคนนับเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาคที่ขยายตัวมากสุด หรือมีอัตราการขยายตัวต่อปี 10.3% โดยที่ผ่านมาประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยมากที่สุด ได้แก่ ประเทศจีน และสายการบินไทยเป็นสายการบินที่เลือกใช้บริการมากที่สุดสำหรับการเดินทางเชิงธุรกิจ ตามมาด้วยสิงคโปร์แอร์ไลน์ และคาเธ่ย์แปซิฟิก
นอกจากนี้ยังพบว่า นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่นิยมหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวเดินทางจากอินเทอร์เน็ต ตัวแทนท่องเที่ยว และถามจากคนอื่น โดยมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ เป็นเรื่องหนังสือเดินทางหาย และกระเป๋าสตางค์หาย/หลงทาง ขณะที่กิจกรรมที่นิยมของนักท่องเที่ยวไทยเมื่อเดินทางไปต่างประเทศได้แก่ ช็อปปิ้ง 78.70% ชมเมือง 71.90% และพักผ่อน 64.30% และสินค้าที่ชอบซื้อมากที่สุดเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ได้แก่ ของที่ระลึก ของแกะสลัก และของแฮนด์เมดท้องถิ่น 63.90% ของใช้ส่วนตัว 62.70% และอาหาร 31.60%
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|